ภาพจาก Xinhua
คิดเรื่องนี้มาได้สักพัก ยังไม่ตกผลึกนักแต่บันทึกไว้ก่อน
- การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (ทำไมถึงเรียก Coronavirus) ถือเป็นภัยคุกคาม (threat) ที่รุนแรงต่อประเทศจีนมาก เพราะรวดเร็ว รุนแรง และมาแบบเซอร์ไพร์ส (คล้ายๆ กับภัยธรรมชาติคือคาดเดาไม่ได้ล่วงหน้า ต่างจากสงคราม) ถ้าให้เทียบคือเปรียบเสมือน 9/11 ของจีนได้เลย
- สถิติ ณ ขณะที่เขียน (10 ก.พ. 2020) ตายไปแล้ว 910 คน ติดเชื้อ 40,710 คน
- เทียบกับ 9/11 คนตายประมาณเกือบ 3,000 คน
- เหตุที่มองว่า การระบาดของไวรัสโคโรนา ร้ายแรงในระดับเดียวกับ 9/11 เพราะว่า
- มันเป็นเหตุที่เกิดซ้ำได้อีก (โรคระบาดรอบใหม่ or ก่อการร้ายรอบใหม่)
- รัฐสามารถควบคุมไม่ให้เกิดได้
- ตรงนี้จะต่างจากเหตุการณ์ deadly event ในโลกสมัยใหม่ อย่างแผ่นดินไหว-สึนามิญี่ปุ่นปี 2011 ที่เป็นภัยธรรมชาติล้วนๆ (ตายราว 16,000 คน) และรัฐไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
- ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลจีนค่อนข้างจัดการปัญหานี้ได้ดีทีเดียว มาตรการต่างๆ ออกมารวดเร็ว เพียงแต่ขนาดของปัญหามันใหญ่เกินไปจนอยู่ในระดับที่ใครก็เอาไม่อยู่หรอก
- เท่าที่นั่งอ่านจาก Xinhua การระดมสรรพกำลังทางการแพทย์ การผลิตสินค้าการแพทย์ อาหาร ฯลฯ จากทั่วทั้งประเทศจีนเข้ามาช่วยพื้นที่ที่เกิดการระบาดอย่างอู่ฮั่นหรือหูเป่ย น่าจะใกล้เคียงกับ อเมริกายกระดับการผลิตในยุคสงครามโลก (FDR model) เลยทีเดียว
- แต่หลังจากจีน “เอาอยู่” ในระยะสั้นแล้ว คิดว่าจีนจะมีมาตรการชุดใหญ่ออกมาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้อีก เท่าที่นึกออก
- แบนการบริโภคสัตว์ป่าแบบถาวร ใช้กฎหมายที่รุนแรงสำหรับผู้ค้า
- Double-down โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข เพิ่มโรงพยาบาล เพิ่มบุคลากรด้านการแพทย์ คนจีนจะถูกผลักดันให้ออกไปเรียนหมอในมหาวิทยาลัยดังๆ ของโลกเพิ่มอีกมาก อีก 10 ปีจีนคงกลายเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ของโลก
- Citizen Surveillance จะยกระดับขึ้นอีก อาจถึงขั้นการเดินทางข้ามเมืองหรือข้ามมณฑลต้องมีใบอนุญาตจากรัฐ (อย่างกับสมัยราชวงศ์หมิง!) หรืออย่างน้อยๆ ต้องรายงานตัวเพื่อให้รัฐบาลรู้ความเคลื่อนไหวของฝูงชน
- อาจมีระบบตรวจสุขภาพเป็นประจำ เช่น ทุก 3 เดือน คนจีนต้องไปตรวจสุขภาพ ต้องได้ใบรับรองแพทย์หรือใบรับรองสุขภาพก่อนจึงจะสามารถทำงาน ทำธุรกรรมกับรัฐ หรือประกอบธุรกิจได้
- นอกจากนี้ ไวรัสโคโรนายังเป็นจุดเปลี่ยนของนโยบายรัฐจีนในหลายๆ เรื่อง
- ในแง่อาหารและ logistics ที่เกิดปัญหาจากการปิดเมือง น่าจะทำให้จีนต้องคิดเรื่องโครงสร้าง supply chain ของเมือง mega city ใหม่ในระยะยาว (คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร) โจทย์คือทำอย่างไรให้เมืองแต่ละเมืองสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หากเกิดเหตุการณ์ outbreak ลักษณะนี้อีกในอนาคต เทคโนโลยีพวก smart city หรือฟาร์มในเมือง น่าจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
- ในแง่การค้าระหว่างประเทศ คิดว่าจีนจะดึงการค้าทั่วโลกกลับไปชั่วคราว เพื่อทำความสะอาดหลังบ้านให้เรียบร้อยก่อน มาตรการที่นึกออกคือ การออกไปเที่ยวต่างประเทศต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน ซึ่งก็แน่นอนว่าส่งผลกระทบให้ demand ในตลาดโลก ทั้งการค้าและการท่องเที่ยวลดลง
- การที่คนทั่วโลก “รังเกียจคนจีน” เพราะกลัวติดไวรัสโคโรนา น่าจะทำให้จีนหามาตรการที่เป็น soft power มากขึ้น ให้ประชากรโลกรักหรือนิยมคนจีนกว่าเดิม จากเดิมที่จีนออกไปทั่วโลกแบบกร่างๆ ไม่ค่อยสนใจใครมากนัก ก็จะถูกบีบทั้งจากประชาคมโลก และรัฐบาลจีนเอง ให้ทำตัวน่ารักน่าคบหามากขึ้น
- ในระยะยาว โคโรนาจะเป็นจุดเปลี่ยนให้รัฐจีน (The State of China) แข็งแกร่งขี้นจากภายในอีกหลายเลเวล
- ไวรัสโคโรนา ยังจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ สีจิ้นผิง อยู่ในตำแหน่งนานขึ้นอย่างชอบธรรม หลังจากที่ปลดล็อคเรื่องเทอมการเป็นประธานาธิบดีไปเรียบร้อยแล้ว
- สีจิ้นผิงรับตำแหน่งในปี 2012 ตามธรรมเนียมผู้นำจีนอยู่ได้นาน 10 ปี ก็ควรอยู่ได้ถึง 2022
- แต่พอเจอ “ภัยคุกคามแห่งชาติ” ก็จะมีความชอบธรรมในการอยู่ให้นานขึ้นอีก อย่างน้อยก็อีก 1 สมัย (2027)
- ในเบื้องหลังที่เรามองไม่เห็น น่าจะเห็นสีจิ้นผิงใช้อำนาจ “ปลด” หรือ “กำจัด” นักการเมืองหรือข้าราชการที่เป็นปัญหา หรือทำงานไม่ดีในช่วงเหตุการณ์ไวรัสระบาดไปอีกชุด บัลลังก์ของสีจะยิ่งมั่นคง แต่ใครที่หวังจะเห็นจีนเป็นประชาธิปไตย เปิดกว้างมากขึ้น ก็คงจะไกลออกไปเรื่อยๆ
- นอกจากจีนแล้ว การระบาดของไวรัสโคโรนาย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และกระบวนการ supply chain แบบเต็มๆ จนอาจเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ anti-globalization เลยก็คงได้
- รัฐบาลประเทศต่างๆ จะเริ่มกีดกันการค้าการลงทุนกับชาวต่างชาติเพราะกลัวไวรัส และเริ่มมองถึงการสร้าง supply chain ห่วงโซ่การผลิตสินค้าขึ้นมาใหม่ เพื่อพึ่งพาตัวเองให้ได้ (เข้าทาง Trump หมดเลยนี่นา!)
- พรรคการเมืองสายชาตินิยม (nationalist) จะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โลกเริ่มหมุนขวามาได้สักระยะแล้ว โคโรนาไวรัสจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้หมุนขวาเร็วขึ้นอีก