in Politics

Three New World Orders

Ian Bremmer ผู้ก่อตั้ง Eurasia Group เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน geopolitics ที่ในวงการให้การยอมรับ ส่วนตัวแล้วก็ตามทวีตเขาอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดฟังเขาไปพูดใน TED Talk เรื่องระเบียบโลกใหม่ เลยมาจดประเด็นเก็บไว้

 

Bremmer เล่าว่าในยุคสงครามเย็น โลกแบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจนคือ อเมริกากับโซเวียต หลังจากโซเวียตล่มสลายลง อเมริกาก็เป็นผู้นำโลกแต่ผู้เดียว

แต่ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา (คิดว่านับจากวิกฤตการเงินปี 2007-2008) ระเบียบโลกได้วิวัฒนาการไปอีกมาก จนเกิดเป็นระเบียบโลกที่ซ้อนทับกันอยู่ถึง 3 อัน

Security Order

พลังทางการทหารและความมั่นคง ยังมีอเมริกาเป็นผู้นำเดี่ยวเหมือนเดิม มีอำนาจส่งทหาร อาวุธ ไปยังประเทศใดๆ ก็ได้ในโลก

แม้จีนพยายามขยายอำนาจทางการทหาร ก็ทำได้เฉพาะแค่ในเอเชีย และส่งผลให้พันธมิตรของอเมริกาในเอเชีย ยิ่งต้องวิ่งเข้าหาอเมริกาเข้าไปอีก

Economic Order

จีนก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจของอเมริกา และมีขั้วอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ระดับรองลงมา เช่น EU, อินเดีย, ญี่ปุ่น มาช่วยคานอำนาจด้วย เป็นโลกหลายขั้ว (multipolar world)

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอเมริกาและจีนกลับเป็นไปได้ดี ปริมาณการค้าต่อกันเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ “สงครามเย็นทางการค้า” เกิดขึ้นได้ยากในทางปฏิบัติ

อเมริกาพยายามใช้อำนาจทางการทหารมาช่วยในด้านการค้า เช่น สงครามชิป การแบน TikTok ฝั่งจีนก็พยายามใช้พลังการค้ามาช่วยเรื่องการทูตของตัวเอง ส่วนขั้วที่เหลืออื่นๆ ก็ต้องพยายามให้ทั้งสองขั้วใหญ่สมดุล คานอำนาจระหว่างกันต่อไป

Digital Order

ขั้วอำนาจใหม่ที่ควบคุมโดยบริษัทเทคโนโลยี แทนที่จะเป็นรัฐบาล ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัทเทคฯ เหล่านี้เข้ามาช่วยให้ยูเครนสามารถเอาตัวรอดจากสงครามได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ของสงครามในอดีต ยูเครนน่าจะเสียอำนาจสั่งการภายในประเทศในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

บริษัทเทคฯ ยังมีส่วนในการแพร่กระจายข่าวปลอมไปทั่วโลก เกิดเหตุประท้วงหรือบุกรุกสถานที่สำคัญ อย่างกรณีรัฐสภาสหรัฐหรือบราซิล

Bremmer บอกว่าในอดีต คนเราตัดสินกันด้วยความสามารถจากกรรมพันธุ์ (nature) หรือการเลี้ยงดู (nurture) แต่ในยุคใหม่จะมีปัจจัยเรื่องอัลกอริทึม (algorithm) ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทเทคฯ มาเกี่ยวข้องด้วยอีกประการ

Bremmer บอกว่าฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ของ Digital Order มีหลายประการ หากบริษัทเทคฯ ยึดตามอำนาจทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐ ก็จะเกิด Digital Cold War

แต่ถ้าบริษัทเทคฯ ไม่สนใจการเมืองของประเทศต้นสังกัด และมุ่งเน้นธุรกิจทั่วโลกเป็นหลัก จะเข้าฉากทัศน์แบบ Digital Globalization

หรือฉากทัศน์แบบสุดท้ายไปเลยคือ บริษัทเทคฯ ยิ่งใหญ่มากจนตัดตอนรัฐบาลไปเลย เราก็จะเป็นโลกล้ำยุคที่ถูกครอบครองโดยบริษัทเทคฯ ทั้งหมดแทน เรียกว่า Techno-Polar Order

Bremmer ยอมรับว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ฉากทัศน์แบบไหนที่เป็นไปได้มากที่สุด ได้แต่หวังว่าผู้นำบริษัทเทคฯ เหล่านี้จะมีความรับผิดชอบต่อเทคโนโลยีที่ตัวเองถือครองอยู่ และใช้มันให้เป็นประโยชน์ด้านบวกให้กับโลก (เขาเคยพูดว่า อเมริกาเปลี่ยนจากผู้ส่งออกประชาธิปไตย กลายเป็นผู้ส่งออกเครื่องมือทำลายประชาธิปไตยแทน)