ภาพประกอบจาก Pixabay
เคยเขียนเรื่องคนรุ่นใหม่กับภาวะ “ตกงาน” จากวิกฤตเศรษฐกิจ after COVID มาแล้วครั้งหนึ่งในตอน Lost Generation
มาเจอบทความใน Financial Times พูดเรื่องเดียวกัน (บทความนี้อ่านฟรี)
อีกบทความหนึ่ง ต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกเพื่ออ่าน: The class of 2020 need help to start their careers คัดมาเฉพาะประโยคสำคัญ
The class of 2020, however, are likely to find themselves taking time out not by choice, but thanks to an economic crisis. Students leaving university or school will emerge into a labour market already saturated with unemployed workers, many of whom will have decades more experience.
While the coronavirus is much more deadly to the elderly, it is the young who are bearing the brunt of the economic damage.
Recessions always hit the young the hardest, and have long-lasting effects on wages and career progress.
ทางออกก็ไม่ชัดเจนนักเพราะตลาดแรงงานหดตัวจริงๆ มันมืดมนไปทุกหนทาง
ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ให้นักศึกษา (ซึ่งก็คงไม่ใช่ทุกคน) เรียนต่อกันไปอีก 1 ปี รอให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้น ในทางปฏิบัติอาจอัพเกรดตัวปริญญาหรืออะไรก็ว่าไปได้ เช่น เรียนต่ออีก 1-1.5 ปีได้ ป.โท ทันที (แต่คำถามคือหน่วยงานภาคการศึกษาจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน?)
อีกเรื่องที่ต้องทำไปควบคู่กันคือ ต้องหามาตรการช่วยให้นักศึกษาเหล่านี้ “อยู่ได้” ในช่วงที่เรียนต่อด้วย เช่น ฟรีค่าเทอมไปเลย หรือมีทุนการศึกษาสนับสนุนให้เยอะขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งก็ต้องใช้กลไกลของภาครัฐร่วมกับเงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้ามาทำให้เป็นจริง
อีกประเด็นที่เกี่ยวพันกัน เห็นมาจากบทความของ The Potential ไปสัมภาษณ์นักศึกษาหลายคนว่าคิดอย่างไรกับอนาคตเบื้องหน้า
ประเด็นที่ติดใจคือเรื่องเสียดายโอกาส
เป็นเวลา 3-4 เดือนที่ทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกเสียดายโอกาส มันควรเป็นปิดเทอมที่ได้ทำอะไรมากกว่าการอยู่บ้าน เดิมแพลนไว้ว่าปิดเทอมจะเรียนขับรถ เรียนภาษา แล้วก็ฝึกงาน เพราะตอนนี้เรียนมาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร คิดว่าอย่างน้อยการฝึกงานจะทำให้เราได้ลองทำงานจริงๆ ทำสิ่งใหม่ๆ อาจจะทำให้เรารู้ว่าตัวเราทำอะไรได้และเหมาะสมกับอะไร และได้ประสบการณ์เพิ่มเติมให้กับตัวเราเอง
อันนี้เป็นโจทย์ที่ดีว่า เรามีพลังนักศึกษาจบใหม่อยู่เป็นหลักแสนคน ที่ไม่สามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่ เราจะใช้ประโยชน์จากพลังของคนกลุ่มนี้อย่างไร เป็นหน้าที่รัฐที่ต้อง “สร้างงาน” ที่ดึงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด
ซึ่งจะสร้างอย่างไร ก็เป็นโจทย์ที่ต้องคิดกันต่อไป