in Technology

Xbox Series S

เขียนเรื่องสงครามคอนโซลยุคใหม่มาแล้วหลายครั้ง (Blognone, เว็บนี้) แต่การเปิดตัว Xbox Series S ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คิดว่ามีประเด็นควรค่าแก่การเขียนถึงอีก

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการเปิดตัวของไมโครซอฟท์ คือ นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการเกมคอนโซล ที่เราเห็นการเปิดตัวคอนโซล 2 รุ่นพร้อมกัน (ที่ต่างระดับราคากัน)

การวางตำแหน่งของ Xbox Series S เป็นคอนโซลราคาถูกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะไมโครซอฟท์ทำมาก่อนแล้วตอน Xbox One S แต่ต้องบอกว่ารอบก่อนหน้านั้นต่างออกไป นั่นคือ

  • Xbox One S เป็นการออกคอนโซลใหม่แบบ mid-cycle (ซึ่งฝั่ง Sony ทำมาก่อนจาก PlayStation Slim)
  • Xbox One S ใช้สเปกเหมือนกับ Xbox One ตัวแรกเกือบหมด (ซึ่งก็เหมือนเคส PS Slim)

การเปลี่ยนแปลงของรอบ mid-cycle ตอนปี 2016-2017 มีจุดต่างคือมีคอนโซลตัวแรงกว่า (ในที่นี้คือ Xbox One X และ PS4 Pro) ออกมาขายเพิ่ม โดยตัว base spec คือ Xbox One S และ PS4 Slim ยังขายอยู่เหมือนเดิม แต่รีแบรนด์เล็กน้อย

ส่วนปี 2020 มีความแตกต่างออกไป เพราะเป็นการออกคอนโซลพร้อมกัน 2 ตัวตั้งแต่ new cycle เลย ผู้ซื้อมีอำนาจตัดสินใจตั้งแต่แรกว่าต้องการเลือกซื้อตัวไหน

ไมโครซอฟท์ยังคงชื่อเรียกห้อย S/X เหมือนเดิม คงโครงสร้างราคาเดิม 299/499 ดอลลาร์ แต่สเปกเครื่องแรงขึ้นตามยุคสมัย อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การวางสเปกให้ซีพียูเป็นตัวเดียวกัน 100% และฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์อื่นๆ (SSD/GPU) เกือบเท่ากันหมด (ต่างกันแค่ขนาดหรือความจุ) ก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของคอนโซลทั้งสองตัวได้

ตรงนี้คล้ายๆ กับยุทธศาสตร์ของแอปเปิล ที่นำซีพียู A13 Bionic ตัวเดียวกับ iPhone 11 มาใช้กับ iPhone SE ที่ราคาถูกต่างกันมากด้วย ประโยชน์มีทั้งในแง่ของ SKU ที่น้อยลง (สั่งของชิ้นเดียวมาใช้ได้กับสินค้าหลายรุ่น) และการตลาด ที่คู่แข่งมาหาข้อเปรียบเทียบได้ยากด้วย

ส่วนประเด็นที่บทวิจารณ์ในหลายเว็บพูดถึงกันไปเยอะแล้ว คือ การที่ Xbox Series S เน้นความละเอียดระดับ 1440p แทนที่จะเป็น 4K ของ Xbox Series X ถือเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่น่าสนใจมาก

จากที่เขียนไปเรื่อง Diminishing Returns คือทุกคนไม่ได้ต้องการ 4K เสมอไป ทั้งด้วยปัจจัยว่าความละเอียดมันอยู่ในระดับที่แยกด้วยสายตาได้ยากแล้ว, ปัจจัยเศรษฐกิจปี 2020, และปัจจัยเรื่องฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ (เช่น ยังไม่มีทีวี 4K)

ดังนั้น ถ้าเราแยกกลุ่มลูกค้าเป็น 1440p และ 4K ก็น่าจะมีสัดส่วนค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ กลุ่ม enthusiasts ที่พร้อมจัดสุดทุกอย่าง กับกลุ่มผู้เล่นที่ชิวๆ เอายังไงก็ได้ขอมีเกมเล่นได้ น่าจะมีจำนวนพอๆ กัน (หรืออย่างมากก็น่าจะ 60:40) ดังนั้นถือว่า ไมโครซอฟท์ตอบโจทย์ทั้งสองกลุ่ม จะมาท่าไหน มีความต้องการแบบไหน ก็รองรับได้หมด

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเอาใจคนเล่นคอนโซลยุคก่อน (Xbox One) คนเล่นพีซี ด้วยบริการ Game Pass หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่มีเครื่องอะไรเลย มีแต่มือถือ Android ก็สามารถเล่นได้ผ่าน xCloud ด้วย เรียกว่ามาทุกท่าได้หมดจริงๆ

แน่นอนว่าการแยกเซกเมนต์ของลูกค้ายิบย่อยแบบนี้ ย่อมส่งผลให้ Xbox Series X มียอดขายไม่เยอะแน่นอน การจะไปแข่งตัวเลขยอดขายกับ PS5 ตรงๆ คงทำได้ยาก แต่ไมโครซอฟท์ก็ประกาศตัวชัดเจนว่าไม่แคร์ และมองว่าคอนโซลเป็น “ทางผ่าน” ของผู้ใช้ไปสู่บริการ Xbox Game Pass ที่เป็นโมเดล subscription ในระยะยาวมากกว่า

โดยส่วนตัวแล้วคงไม่ซื้อทั้ง Xbox Series X และ Series S ในระยะอันใกล้นี้ และอยู่กับพีซีต่อไปมากกว่า (และมนต์เสน่ห์ของเกม exclusive มันก็ลดน้อยไปมากแล้วในยุคที่เกมต้องลงทุนมหาศาล ต้องขายทุกแพลตฟอร์มเพื่อเอาเงินคืนทุกเม็ด) แต่ถ้าถามว่าคอนโซลตัวไหนที่น่าสนใจที่สุดในปี 2020 ก็คงเลือก Xbox Series S ชนะเลิศเหนือทั้ง Xbox Series X และ PS5 แบบไม่ต้องสงสัย