in Politics

ชาตินิยมคืออะไรกันแน่?

ส่วนตัวแล้วผมสนใจเรื่อง “ชาตินิยม” (nationalism) มานาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่การเมืองโลกเกิดกระแส “หมุนขวา” พรรคการเมืองชาตินิยมในหลายๆ ประเทศชนะเลือกตั้งและครองอำนาจ

คำถามนี้ยิ่งสำคัญและใกล้ตัวมากขึ้นหลังสงครามไทย-กัมพูชารอบล่าสุด เราเห็นวิวาทะเรื่อง “ชาตินิยม” แพร่กระจายไปทั่วสังคมออนไลน์ เกิดการถกเถียงกันมากมายในวงกว้าง

สเปกตรัมความเห็นมีตั้งแต่สุดทาง “บุกยึดไปให้ถึงพนมเปญ” ไปจนถึงอีกฝั่งคือ “พรมแดนเป็นเส้นสมมติ”

ผมเชื่อว่าคนกลางๆ จำนวนมากอาจยังลังเลสงสัย ไม่กล้าแสดงความเห็น ออกตัวแรงกันมากนัก ห่วงประเทศน่ะห่วง โกรธฝั่งโน้นน่ะโกรธ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรแสดงออกกันประมาณไหนดี คำถามที่อยู่ในหัวของคนจำนวนไม่น้อยคือ “รักชาติอย่างไรถึงเหมาะสม”

ถ้าเราใช้หลัก first principle ถามต่อไปอีกว่า “แล้วตกลงชาติคืออะไรกันแน่” ผมเชื่อว่าคำตอบที่ได้น่าจะหลากหลายมาก คือเขตแดน ผู้คน ธงชาติ วัฒนธรรม ฯลฯ หรืออาจเป็นหลายอย่างรวมกันได้ด้วยไหมนะ

นี่คงเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่นักวิชาการสายรัฐศาสตร์ จะได้มีบทบาท

ผมมีโอกาสได้อ่านบทความซีรีส์ “ว่าด้วยชาติ & ชาตินิยมทางแนวคิดการเมือง” ของ อ.เกษียร เตชะพีระ ที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ช่วงนี้ และคิดว่าเป็นประโยชน์มากในการตอบคำถามว่า ตกลงแล้วชาติคืออะไร ชาตินิยมที่เหมาะสมควรเป็นเช่นไร

หมายเหตุ: บทความนี้ อ.เกษียร เริ่มเขียนและให้สัมภาษณ์ในยุค คสช. ที่มีข้อหา “ชังชาติ” ยุคที่เพลง “ประเทศกูมี” กำลังดัง แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้งในช่วงนี้ แม้ปัญหา “ชังชาติ” อาจเปลี่ยนรูปแบบไป แต่ตัวหลักการยังใช้ได้อยู่

อ.เกษียร พาเราย้อนกลับไปยังหนังสือคลาสสิคของวงการชาตินิยมคือ Imagined Communities ของ Benedict Anderson (ภาษาไทยแปลว่า ชุมชนจินตกรรม) ที่หลักใหญ่ของมันคือ

  • ชาติไม่มีอยู่จริง
  • ชาติเป็นสิ่งที่ “ชุมชน” ร่วมกันจินตนาการขึ้นมา (nation as an imagined political community)
  • เครื่องมือในการสร้างชาติให้เป็นเอกภาพคือ “ภาษา” สมัยใหม่ที่เป็นภาษากลาง ไม่ใช่ภาษาชนเผ่าหรือเฉพาะถิ่น
  • เรื่องเล่าหรือวรรณกรรมทำให้คนรู้สึกเป็นเจ้าของชาติร่วมกัน
  • พัฒนาการของสิ่งพิมพ์ หรือสื่อสมัยใหม่ ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เข้าถึงเรื่องเล่าเดียวกันได้ในวงกว้าง เกิดความรู้สึกร่วมของความเป็นชาติที่กว้างไกลขึ้น

อ.เกษียร เขียนไว้ดังนี้

เพื่อจะมีชุมชนในจินตนากรรม คุณต้องพยายามจินตนาการว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นี้มีอะไรร่วมกันบางอย่าง หลักๆ มีอยู่ 3 เรื่อง คือ 1) imagined common past มีอดีตร่วมกัน 2) imagined common place มีพื้นที่ร่วมกัน และ 3) imagined common tie มีสายสัมพันธ์บางอย่างร่วมกัน

คุณต้องสร้าง imagined common place คือต้องมีสถานที่ร่วมกัน เครื่องมือสำคัญในการทำให้คนจำนวนมากซึ่งอยู่ไกลกันและชาตินี้อาจไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็ได้ รู้สึกว่าพวกเราสังกัดอยู่ในสถานที่เดียวกัน เครื่องมือที่ว่านี้คือแผนที่

นอกจากแผนที่ คุณต้องจินตนาการได้ว่าคุณมีอดีตร่วมกันหรือ imagined common past ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีอดีตร่วมกัน ร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างอยู่ มีพื้นเพภูมิหลังความเป็นมาไม่เหมือนกัน ดังนั้น คุณต้องสร้างอะไรสักอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีอดีตร่วมกัน สามารถสาวกลับไปได้ว่าทวดของทวดของทวดเราน่าจะมีความสัมพันธ์อยู่ร่วมกันมาอย่างไร เครื่องมือในการสร้างอดีตที่มีร่วมกันคือประวัติศาสตร์ ซึ่งสมัยก่อนคุณจะพบคำอธิบายว่าเราแตกยอดอพยพจากเทือกเขาอัลไตมาถึงสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน

สุดท้ายคือ imagined common tie คือมีสายสัมพันธ์บางอย่างร่วมกัน พูดถึงที่สุดเราไม่ได้มีสายสัมพันธ์ติดต่อถึงตัวกันจริงๆ หรอก ชีวิตเราต่างดำเนินไปตามเงื่อนไขเศรษฐกิจสังคมเฉพาะต่างกัน เราต่างใช้ชีวิตประจำวันของเราไป ผมสอนอยู่ธรรมศาสตร์กับอาจารย์ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับอาจารย์ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อาจจะไม่ได้เคยคุยกันเลยก็ได้ในชั่วชีวิตนี้ แต่เครื่องมือสำคัญในการสร้างจินตนาการว่าเรามีสายสัมพันธ์ร่วมกันคือ การใช้สัญลักษณ์ เช่น ธงชาติ เพลงชาติ เครื่องแบบบางอย่าง หรือเครื่องแต่งกายบางอย่าง

อ่านแล้วพบว่า เออ เป๊ะมาก ในความขัดแย้งกับกัมพูชารอบนี้ ทั้งสามปัจจัยมาครบถ้วนจริงๆ ทั้ง แผนที่, ประวัติศาสตร์, ธงชาติ เพลงชาติ ไม่มีอะไรตรงกว่านี้อีกแล้ว

แผนที่ของทองใบ แตงน้อย เรื่องการอพยพจากเทือกเขาอัลไต, อาณาเขตอันไพศาลของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และแผนที่การเสียดินแดนให้รัฐล่าอาณานิคม น่าจะเป็น 3 แผนที่ที่ทรงพลังที่สุดในการนิยามชาติไทย (ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม)

นอกจากนี้ อ.เกษียร ยังอ้างงานของ อ.ธงชัย วินิจจะกูล ว่า

การเกิดชาติขึ้นในโลกนี้ มันไม่ได้มีแต่ความเหมือนเท่านั้น มันมีความต่างด้วย เพราะมันไม่มีชาติไหนหรอกที่ครอบครองพื้นที่ได้หมดทั้งโลก ทันทีที่คุณพูดถึงชาติชาติหนึ่ง เช่น ชาติไทย คุณกำลังพูดถึงชาติอื่น เช่น ชาติกัมพูชา ชาติพม่า ชาติลาว ที่แวดล้อมอยู่ด้วย คือพูดง่ายๆ ทันทีที่พูดถึงชาติ มันเป็นพหูพจน์ (plural) มันมีหลายชาติในโลกทันที

โชคดีอีกเหมือนกันที่ อ.ธงชัย เขียนบทความ ชาตินิยมไทยไม่มี ‘เพื่อนบ้าน’ มีแต่ ‘คนอื่น’ รอบบ้าน ลงในมติชนด้วยพอดี ซึ่งสรุปความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบไว้ชัดเจน (ลิงก์ในคอมเมนต์)

อ.ธงชัย เขียนไว้ดังนี้

ในสมัยก่อนรัฐสยามแบบจารีตไม่รู้จัก “เพื่อนบ้าน” แต่รู้ว่ามีพม่า มอญ กะเหรี่ยง ลาว เขมร มลายู อยู่รายรอบ

แต่รัฐและผู้คนเหล่านี้ไม่เคยถูกนับเป็น “เพื่อนบ้าน” เพราะล้วนแต่เป็น “คนอื่น” ที่ต้องระวังระแวงทั้งนั้น

คำว่า “เพื่อนบ้าน” เป็นศัพท์ใหม่ มโนทัศน์ “เพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ก็เป็นของใหม่มาจากตะวันตกในศตวรรษที่ 20 บนฐานของภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่
แต่มโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศรอบๆ ประเทศไทยมาจากการมองแบบ “จักรวรรดิสยาม” ที่มีต่อรัฐใกล้เคียงซึ่งตกทอดมาจากรัฐจารีตก่อนสมัยใหม่

ราชอาณาจักรสยามตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงกรุงเทพฯ จึงเห็นอาณาจักรรอบๆ สยามว่าหากไม่เป็นอริราชศัตรูคู่แข่งที่จะมาแย่งชิงอำนาจสูงสุด ก็เป็นประเทศราชที่ด้อยกว่า เป็นเมืองขึ้น เป็นราชอาณาจักรที่ต่ำชั้นกว่า

อ.ธงชัย สรุปมุมมองของรัฐไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านไว้ดังนี้ (คัดมาเฉพาะส่วนสำคัญ)

  • ภาพพจน์ตัวแบบของ “พม่า” ตามประวัติศาสตร์ไทยของทางการคือ มีอำนาจสูงจนน่ากลัว แต่ชั่วร้ายเลวทราม พิชิตสยามได้ถึงสองครั้งสองครา
  • คนไทยมอง “ลาว” เป็นน้องที่น่าสงสารผู้รับความเอื้ออารีและการอุปถัมภ์ค้ำจุนของไทย แต่บ่อยครั้งน้องกลับไม่รู้จักบุญคุณของพี่ไทย
  • “กัมพูชา” ตามคำบอกเล่าในประวัติศาสตร์เป็นรัฐและคนที่น่าสมเพชและไว้ใจไม่ได้ ไทยควรจะต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา เพราะ “เขมรแปรพักตร์” แว้งมากัดได้เสมอ
  • ความขัดแย้งระหว่างสยามกับ “เวียดนาม” เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 18 นี่เอง มองจากมุมของไทย สยามช่วยให้เวียดนามมีชีวิตต่อมาได้ แต่แล้วเวียดนามกลับกลายเป็นศัตรูคู่ปรับตัวใหม่
  • “มลายู” ในสายตาของสยามก็คือรัฐบรรณาการห่างไกลที่มักก่อความรำคาญ

ผมคิดว่างานของนักวิชาการทั้งสองท่าน ถึงแม้ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ ว่า เราควรมีจุดยืนเรื่องชาตินิยมที่เหมาะสมอย่างไรในโลกสมัยใหม่ (ซึ่งเป็นคำถามแห่งยุคสมัยที่ต้องช่วยกันขบคิดต่อไป ยากเนอะ) แต่อย่างน้อยก็ชวนให้เราย้อนกลับไปเข้าใจพื้นฐานว่า “ชาติคืออะไร” และพวกเราคนไทยมีวิธีคิดหรือความทรงจำร่วมเกี่ยวกับ “ชาติ” อย่างไรกันแน่