in Business

บทเรียนจากพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร CEO โอสถสภา

เมื่อวันก่อนผมมีโอกาสได้ฟังพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร CEO ของโอสถสภา มาเล่าประวัติชีวิตให้เพื่อนๆ IMETMAX รุ่นที่ 6 ฟังกันอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง จึงอยากมาจดบันทึกไว้

ผมได้ยินชื่อพี่อ้นมาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้คุยกับพี่อ้นตรงๆ สักครั้ง การได้เจอกับพี่อ้นครั้งนี้จึงน่าตื่นเต้นมาก

ประวัติการทำงานของพี่อ้นน่าประทับใจมาก หลังจากเรียนจบก็ทำงานกับ Unilever มาเกือบ 30 ปี ทำงานมาแทบทุกอย่าง และอยู่ในตำแหน่งเกือบสูงสุด จากนั้นย้ายมาเป็น CEO คนนอกคนแรกของเครือโอสถสภา ซึ่งเป็น family business ที่อยู่คู่เมืองไทยมาร้อยกว่าปี ซึ่งพี่อ้นสามารถทำให้โอสถสภาเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในเวลาประมาณ 2 ปี และอยู่เป็น CEO มาถึงปัจจุบัน นับเป็นปีที่ 9 แล้ว

ตลอดเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ได้นั่งฟังพี่อ้นเล่าเรื่อง ตอบคำถามของน้องๆ ยิ่งน่าประทับใจเข้าไปอีก

ถ้าให้สรุปแบบสั้นๆ ต้องบอกว่าพี่อ้นนั้น humble มาก (อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับคน profile ระดับนี้) แต่ในอีกทางก็มุ่งมั่น แน่วแน่ในแนวทางที่ตัวเองเชื่อเช่นกัน

1. Humble

“พี่เป็นคนไม่มั่นใจว่าตัวเองเก่งเลย” ตลอดเวลาการพูดคุยกันนั้น เราไม่เคยได้ยินพี่อ้นอวดอ้างความสามารถของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว

พี่อ้นเริ่มชีวิตการทำงานจากการเป็น management trainee ที่ Unilever ซึ่งหลังจากผ่านการอบรมพนักงานใหม่ไม่กี่สัปดาห์ พี่อ้นต้องถูกส่งไปตระเวณตามต่างจังหวัด เพื่อขายสินค้าของ Unilever เข้าร้านค้าตามต่างอำเภออยู่หลายเดือน วันหนึ่งๆ คือต้องนั่งรถบรรทุกไปกับคนขับและเซลส์ เพื่อช่วยเซลส์ขายของให้กับร้านค้าปลีกวันละเป็นสิบๆ ร้าน ทำแบบนี้ซ้ำๆ ทุกวัน โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ จากผู้ดูแลโครงการ

เพื่อนร่วมโครงการหลายคนตัดสินใจลาออกไปเลย แต่พี่อ้นเลือกสู้ต่อ ตกเย็นเมื่อรถขับกลับเข้าโกดัง พี่อ้นบอกว่าตอนเย็นไม่มีอะไรทำ ก็เลยช่วยจัดสินค้าของวันถัดไป แบกลังขึ้นรถเตรียมเอาไว้ตั้งแต่คืนนั้น ชีวิตนี้ไม่เคยต้องขายของมาก่อนก็พยายามเรียนรู้กันไปหน้างาน หัดพูดหัดคุยกับเจ้าของร้าน ป้าๆ ลุงๆ ทั้งหลาย

วิธีการประเมิน trainer ของ Unilever ในตอนนั้นเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ ตัวพี่อ้นเองก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายพี่อ้นได้เข้ารอบไปต่อ และกลายเป็นว่าอยู่กับ Unilever ยาวนานมาเกือบ 30 ปี ได้วนไปทำแทบทุกตำแหน่งในบริษัททั้งสาขา local/global ตามนโยบายของ Unilever ที่ให้ทำงานตำแหน่งละไม่เกิน 2 ปี

พี่อ้นบอกว่าเมื่อต้องเปลี่ยนตำแหน่งบ่อยๆ แปลว่าเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับงานใหม่นั้น เราต้องเข้าไปเป็นหัวหน้าคนที่แก่กว่าเรา ทำงานมานานกว่าเรา เชี่ยวชาญกว่าเราเสมอ สิ่งที่พี่อ้นใช้ในการเอาตัวรอด จึงเป็นการเข้าไปเรียนรู้งานให้เร็วที่สุด ขยันตั้งคำถามให้ตรงจุด ถามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแตกฉาน

เพื่อนในรุ่นมีคำถามว่า ทำไมพี่อ้นถึงตัดสินใจไปรับงานที่โอสถสภา ทั้งที่ต้องไปเป็น CEO คนนอกคนแรก แถมยังมีเป้าหมายต้องพาบริษัท IPO ในเวลาที่กำหนดไว้แล้วอีก ดูเป็นงานที่ยากมากจริงๆ

พี่อ้นหัวเราะพร้อมตอบว่า ตอนแรกพี่ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง ถ้ารู้ก็คงไม่รับ แต่ก็บอกว่าการไม่รู้มันก็เป็นเรื่องดีในอีกด้าน เพราะพี่อ้นเข้าไปแบบคนไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักใครเลย ไม่ต้องเกรงใจใครด้วยสายสัมพันธ์เก่าก่อน มีอะไรก็ตัดสินใจไปตาม common sense หน้างาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ทำให้งานที่โอสถสภาสำเร็จลุล่วงไปได้

นอกจากนี้พี่อ้นยังเล่าตรงๆ ว่า ตอนเข้าไปเริ่มงาน CEO ตัวพี่อ้นเองก็ไม่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะอยู่รอด ก็คิดเสียว่ามีโอกาสได้ลองทำแล้ว ไม่เสียใจทิ้งงานที่ Unilever มา ก็เท่านั้น

ผมคิดว่าคุณลักษณะของพี่อ้นที่ไม่ over-confident ไม่ over-claim เน้นทำงานของตัวเองไปเงียบๆ ถือเป็นคุณลักษณะที่หาได้ยากของผู้นำธุรกิจในยุคนี้ ที่ตัว personal branding ของ CEO ถือเป็นจุดขายสำคัญของบริษัท ต้องมีคาแรกเตอร์โดดเด่นวูบวาบ ของพี่อ้นคือตรงข้ามกันทุกอย่าง มีคาแรกเตอร์เรียบๆ ไม่เด่นไม่ดัง ถ้าเดินสวนกันตามถนนคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อ้นเป็นใคร

พี่อ้นบอกว่าถ้าเห็นพี่ในสื่อแปลว่าสถานการณ์ตอนนั้นพี่หนีไม่พ้นแล้ว ยังไงก็ต้องยอมออกสื่อจริงๆ ไม่สามารถใช้คนอื่นไปทำแทนได้แล้ว

2. Freedom

แต่ในด้านกลับ พี่อ้นเป็นคนที่แน่วแน่มากๆ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

ผมเคยอ่านที่ พี่รุตเขียนเรื่องวิธีการใช้ชีวิตของพี่อ้น “Live one level below what you can afford.” มาก่อน แต่เพิ่งได้ฟังเองแบบเต็มๆ ละเอียดๆ เลยเข้าใจที่มาที่ไปอย่างลึกซึ้ง
พี่อ้นบอกว่าให้ความสำคัญกับ “อิสระ” ในการตัดสินใจ (พี่อ้นใช้คำว่า freedom) เป็นอย่างมาก

พี่อ้นเคยปฏิเสธไม่เลื่อนตำแหน่งเป็นเบอร์ 1 ของ Unilever Thailand ด้วยเหตุผลว่าการเป็นเบอร์ 1 ของบริษัทข้ามชาติ จะต้องเป็นคนแบกรับนโยบายของบริษัทแม่ (ที่ออกนโยบายเดียวกันทั่วโลก) ไปปฏิบัติ แม้ตัวเองไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้นก็ตาม

ตัวพี่อ้นเองยินดีเป็นคนที่แบกรับการตัดสินใจ แต่ขอให้เป็นการตัดสินใจที่มาจากความคิดของตัวเองจริงๆ ดังนั้นพี่อ้นจึงต้องการอิสระในการเลือกว่าอยากจะทำอะไร และไม่ทำอะไร

การมารับตำแหน่ง CEO ที่โอสถสภาก็เหมือนกัน พี่อ้นมองว่าหากไม่ประสบความสำเร็จ ต้องลาออก พี่อ้นก็คงตกงาน หากพี่อ้นมีภาระทางการเงิน ก็ไม่สามารถลาออกได้ง่ายๆ แม้ไม่มีความสุขกับการทำงานแล้วก็ตาม

สิ่งที่พี่อ้นทำได้ในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีรายได้ทางอื่น คือการควบคุม freedom ทางการเงินของตัวเองด้วยการ live one level below what you can afford หากใช้ชีวิตแบบนี้เราจะมีรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ มีเงินเหลือเก็บเป็นทุนสำรอง เพื่อให้ชีวิตมี freedom ในการตัดสินใจเลือกทำหรือไม่ทำบางอย่างได้เสมอ

3. วิถีการบริหารคนแบบพี่อ้น

“บริหารธุรกิจน่ะเอาจริงๆ มันไม่ยาก ตัดสินใจไปตาม common sense อันที่ยากคือบริหารคน”

ช่วง 2 ปีแรกที่พี่อ้นมารับตำแหน่งในโอสถสภา งานหลักคือการจัดระเบียบองค์กร ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อเตรียม IPO

วันแรกที่พี่อ้นมารับตำแหน่ง ก็ถามคุณเพชร โอสถานุเคราะห์ว่า “อยากให้อ้นทำอะไรคะ”

คุณเพชรตอบมาประโยคเดียวว่า “คุณอ้นคิดว่าทำอะไรแล้วทำให้บริษัทเจริญ ก็ทำเถอะครับ”

พี่อ้นจึงยึดคำนี้ไว้ในใจแล้วเดินหน้าลุยมาตลอด

เนื่องจากโอสถสภาเปิดมาเป็นร้อยปี มีบริษัทในเครือมากมาย เพราะเปิดมาต่างกรรมต่างวาระกัน ไม่เคยถูกจัดระเบียบ กฎเกณฑ์ สวัสดิการต่างๆ ของแต่ละบริษัทย่อยไม่เหมือนกันเลย เข้าตลาดไม่ได้แน่นอน งานแรกๆ ของพี่อ้นจึงเป็นการเข้ามาจัดระเบียบใหม่หมด

นั่นแปลว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่จะต้องออกจากองค์กรไป

พี่อ้นเล่าว่าช่วงนั้นคุยกับคนเยอะมาก ต้องคุยแบบ 1:1 เพื่อให้เข้าใจชีวิตและความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้กระบวนการเอาคนออกนั้นราบรื่นที่สุด ตรงนี้ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ประกอบกันไป ดูแลพวกเขาอย่างเป็นมนุษย์ บวกกับโชคดีที่ครอบครัวโอสถนานุเคราะห์ใจป้ำ ให้แพ็กเกจ early retire ที่ดีมากๆ ทำให้พนักงานแย่งกันสมัคร ช่วยให้พี่อ้นทำการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างของบริษัทได้ง่ายขึ้น

ในอีกด้าน พี่อ้นบอกว่าสนุกกับการปั้นคน ปั้นน้องๆ ให้เก่งขึ้น พี่อ้นบอกว่าชีวิตนี้มั่นใจอยู่แค่ 2 เรื่องคือ การตลาด เพราะทำอาชีพนี้มายาวนาน และการบริหารคนนี่ล่ะ

(นี่คงเป็นเหตุผลที่พี่อ้นรับมาเป็น mentor ให้โครงการ IMETMAX ด้วย และผมได้ยินหลายคนเล่าให้ฟังว่าพี่อ้น enjoy มาก)

4. วิธีบริหารใจแบบพี่อ้น

การทำงานในตำแหน่งสูงและกดดันขนาดนี้ ย่อมมีคำถามว่าแล้วพี่อ้นจัดการกับความกดดัน กับความเครียดของตัวเองอย่างไร

พี่อ้นบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ปล่อยให้เครียดข้ามคืน

หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคทองของไซตามะแห่ง One Punch Man ที่บอกว่า “ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ให้ตัวเราในวันพรุ่งนี้เป็นคนจัดการ”

ผมคิดว่าประโยคเวอร์ชันพี่อ้นเท่กว่านั้น คือ “ทุกวันที่เกิดขึ้นเป็นวันใหม่ พอผ่านไปอีกวัน สิ่งที่เราเคยคิดไว้ว่าเป็นปัญหาอาจไม่มีแล้ว”

พี่อ้นบอกว่าโลกอยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหามีอยู่เสมอมา หลังพี่อ้นเสร็จงานยากเรื่องปรับโครงสร้างองค์กร เอาบริษัท IPO เข้าตลาดเสร็จหมาดๆ คิดว่าจะง่าย ก็ต้องมาเจอกับ COVID ต้องมาเจอปัญหาเศรษฐกิจ ต้นทุนพุ่งสูง ปัญหาการเมืองของพม่าที่โอสถสภาไปลงทุนไว้ ฯลฯ เรียกว่ามีของหนักประดังประเดเข้ามาตลอดเวลา

ดังนั้นผู้นำในฐานะผู้กำหนด energy ขององค์กร เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมทั้ง physically และ mentally เพราะหากผู้นำไม่พร้อม ไม่มีพลัง องค์กรก็จะหมดแรงไปด้วย

นอกจากนี้พี่อ้นยังแนะนำเทคนิคให้เขียน journal คุยกับตัวเองทุกวัน ซึ่งพี่อ้นทำมาประมาณสิบปีแล้ว เวิร์คมาก ตอนแรกพี่อ้นใช้วิธีจดบันทึกธรรมดา แต่ตอนหลังมาค้นพบวิธี bullet journal เลยหันมาใช้แบบนี้แทน (พี่อ้นบอกว่าวิธีการจดจะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ขอให้ซื่อสัตย์กับตัวเอง)

พี่อ้นบอกว่าถ้าเรารู้สึกไม่ดีในวันนั้น เราควรมาสะท้อนตัวเองใน journal ว่าเรารู้สึกอย่างไรกันแน่ แยกอารมณ์ให้ละเอียด เช่น ฉันโกรธเพราะ… ฉันเสียใจเพราะ… ฉันรู้สึกผิดเพราะ… หากเราสามารถให้คำนิยามอารมณ์ของเราได้ เราจะรู้ตัวว่าความรู้สึกไม่ดีของเราเกิดขึ้นเพราะอะไร สาเหตุของปัญหาคืออะไร ก้อนอึมครึมที่ค้างอยู่ในใจมันจะหายไปเอง

หมายเหตุ: นอกจากนี้การพูดคุยยังมีประเด็นอื่นๆ อีกมาก (ทั้งที่เปิดเผยได้และไม่ได้) เนื่องจากตอนฟังตั้งใจมาก (คำอธิบายของคนขี้เกียจจด) จึงคัดมาเฉพาะเท่าที่จำได้เท่านั้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว เซสชันของพี่อ้นถือว่าประทับใจมาก มันแสดงให้เห็น leadership style ว่ามีได้หลากหลายรูปแบบ แต่ละคนมีแนวทางของตัวเอง แกนหลักของพี่อ้นคงเป็นอย่างที่เขียนไปตอนแรก นั่นคือ humble แต่ก็หนักแน่นในหลักการ รู้ตัวชัดว่าตัวเองต้องทำอะไร จากนั้นก็เดินหน้าทำงานไปเรื่อยๆ จนโอสถสภาสามารถ transform ตัวเองครั้งใหญ่ได้สำเร็จนั่นเอง

บทความซีรีส์พี่อ้น ที่เขียนโดยพี่รุต

  1. ตอนที่ 1
  2. ตอนที่ 2
  3. ตอนที่ 3
  4. ตอนที่ 4