in Politics

The Diploma Divide: Why Democrats Lost

ภาพประกอบจาก Democrats Party Facebook

เขียนเรื่อง ชัยชนะของ Donald Trump ไปแล้ว หลายครั้ง ล่าสุดได้ชมคลิปวิเคราะห์ “ความพ่ายแพ้ของพรรคเดโมแครต” หลายคลิป ที่วิเคราะห์ไปในทางเดียวกัน

คลิปแรกเป็นการวิเคราะห์ของ David Brooks คอลัมนิสต์ของ The New York Times เขาใช้คำว่า “Diploma Divide” หรือช่องว่างระหว่างคนมีปริญญากับไม่มีปริญญา ที่เป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024

  • Brooks บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เรื่อง คนรวย vs คนจน หรือความแตกต่างระหว่างสีผิวอีกต่อไป
  • ช่องว่างทางการศึกษาของคนอเมริกัน ส่งผลให้ Trump ฉกฉวยโอกาสสร้างพันธมิตรคนชั้นแรงงานหลายเชื้อชาติ (multi racial working class)
  • ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐ (ไม่ว่าจะปกครองโดยรีพับลิกันหรือเดโมแครต) มุ่งสู่ยุค post-industrial ส่งออกงานด้านการผลิตออกไปนอกประเทศ เหลือแต่งานบริการระดับสูง (เช่น ไอที การเงิน) ค่าตอบแทนแพง แต่คนที่ได้ประโยชน์มีเฉพาะ “คนจบปริญญา” เท่านั้น กลุ่มคนชั้นแรงงานเดิมอยู่ยากขึ้น งานที่จ่ายเงินดี (เทียบต่อค่าครองชีพ) ลดลง
  • การที่แรงงานระดับสูงมีไม่เยอะพอ จึงต้องนำเข้าคนจบปริญญาจากต่างชาติเข้าไปทำงานเพิ่มด้วย จึงบีบคั้นกลุ่มชนชั้นแรงงานดั้งเดิม จบแค่ไฮสคูล มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมปล่อยให้คนต่างชาติมาแย่งงาน
  • กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่พอใจโครงสร้างรัฐ ไม่พอใจ establishment และหันไปเลือก Trump ซึ่งไปยึดเอาพรรครีพับลิกันแบบดั้งเดิมมาเป็นของตัวเอง
  • พรรคเดโมแครตถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” (inequality) ทั้งในแง่สีผิว เพศ แต่กลับละเลยความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา (academic inequality)
  • Brooks บอกว่า “Trump เป็นคำตอบที่ผิด ของคำถามที่ถูก” (Trump is the wrong answer to the right question) เขามองว่าแนวทางของ Trump จะไม่ช่วยแก้ปัญหาที่ฐานเสียงของ Trump เลือกเขาเข้ามา แม้เขาเห็นใจและเข้าใจผู้สนับสนุน Trump ก็ตาม
  • หากเดโมแครตไม่ปรับตัว ก็จะแพ้ไปตลอด เพราะจำนวนคนที่ไม่มีปริญญา มีเยอะกว่าคนที่มีปริญญา สิ่งแรกที่ควรทำคือ เดโมแครตเลิกไปด่าโหวตเตอร์ก่อน, ถัดมา กลุ่มคนที่มีการศึกษาต้องออกมาจาก “blue bubble” มาเข้าใจคนรากหญ้าว่าคิดอย่างไร
  • เขาบอกว่าแนวทางของ Bernie Sanders ที่เน้นการขัดขวางระบบเดิม (disrupt the system) อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องของเดโมแครต
  • เขาเสนอว่า เดโมแครตควรเลือก John Fetterman ที่ชนะเลือกตั้งวุฒิสมาชิกใน Pennsylvania ปี 2022 ซึ่งเข้าใจรากหญ้ามาเป็นผู้นำ แทนที่จะเป็นนักการเมืองที่จบจากมหาวิทยาลัยไฮโซ

คลิปที่สอง Michael Sandel อาจารย์จาก Harvard ผู้เขียนหนังสือ Justice มาให้สัมภาษณ์กับ Walter Isaacson นักเขียนชีวประวัติชื่อดัง

  • คิดเห็นคล้ายๆ กันว่า ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่มีวิธีการสะท้อนความต้องการตัวเองไปยังรัฐ บวกกับความรู้สึกลึกๆ ของคนขาด “สายใยทางจริยธรรม” (moral fabric) ที่ยึดโยงชุมชน ชาติ เอาไว้ด้วยกัน กลายเป็น 2 สาเหตุหลักของความไม่พอใจ ที่กลายเป็นพลังของ Trump
  • กลุ่มชนชั้นแรงงานที่ไม่มีปริญญา รู้สึกว่าโดนดูถูกมาโดยตลอด เมื่อ Trump ออกมาพูดแทนคนเหล่านี้ เขาจึงชนะการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2016
  • ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครต ใช้นโยบายเศรษฐกิจ Neoliberal เน้นตลาดเสรีครอบคลุมทั่วโลก เกิดผลประโยชน์มหาศาลให้กับคนรวย แต่ทอดทิ้งคนจนครึ่งประเทศ เงินเดือนไม่เพิ่ม งานหายไปอยู่ต่างประเทศ เกิดช่องว่างที่ถ่างขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างคนรวยกับคนจน
  • กลุ่มชนชั้นนำทั้งสองพรรค พร่ำบอกคนเหล่านี้ว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดี จงไปเรียนมหาวิทยาลัย เงินที่ได้รับจะสอดคล้องกับระดับการศึกษา (what you earn will depend on what you learn) คุณสามารถรวยได้ถ้าพยายามมากพอ
  • สิ่งที่ชนชั้นนำมองพลาดไปคือ มันยิ่งเป็นการดูถูกซ้ำเติมคนเหล่านี้ เพราะถ้าไม่มีปริญญา แล้วชีวิตล้มเหลวก็เกิดจากตัวบุคคลนั้นเอง ไม่ได้มาจากระบบสังคม ทำให้คนชั้นแรงงานรู้สึกโดนบีบคั้นและดูถูก
  • พรรคเดโมแครตในอดีต ตั้งแต่ยุค New Deal เป็นพรรคสำหรับประชาชนรวมพลังไปสู้กับผู้มีอำนาจ ในขณะที่คนรวยๆ มักเลือกรีพับลิกัน แต่มันพลิกหน้ามือเป็นหลังมือในปี 2016 เมื่อ Trump เจาะตลาดฐานเสียงกลุ่มคนชั้นแรงงาน ซึ่งมีราว 2/3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
  • พรรคเดโมแครตกลายร่างตัวเอง กลายมาเป็นพรรคของคนทำงานวิชาชีพ (professional class) แทนคนชั้นแรงงานที่เป็นฐานเสียงเดิม
  • การเลื่อนชั้นทางสังคม (social mobility) ในอเมริกากลับเกิดได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับในยุโรป ที่มีสวัสดิการสังคม (การศึกษา ที่อยู่อาศัย สาธารณสุข) ดีกว่า กลายเป็นรากฐานที่แข็งแรงให้คนเลื่อนชั้นทางสังคมได้ ขัดกับความเชื่อแบบอเมริกันที่ว่า คุณทำได้ถ้าพยายามมากพอ (you can make it if you try)
  • กลุ่มผู้นำของเดโมแครตต้องกลับไปถามตัวเองว่า ทำไมคนเกินครึ่งประเทศถึงเลือก Trump และการกลับไปสู้รากเหง้าเดิมของเดโมแครตจะต้องทำอย่างไร
  • โหวตเตอร์ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ และ Trump นำเสนอตัวเองว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (the candidate of change) ในขณะที่ Harris ทำไม่ได้
  • ฝ่ายก้าวหน้า (progressive) พลาดเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องเกียรติของคนชั้นแรงงาน (dignity of work) การเชื่อมโยงของคนในชุมชนและความรักชาติ (patriotism) กลายเป็นช่องว่างให้ฝ่ายขวาและขบวนการ MAGA ของ Trump ยึดครองความภูมิใจของชาติ (national pride) ผ่านคำว่า Make America Great Again

คลิปที่สาม Fareed Zakaria เจ้าเดิม วิเคราะห์ในแนวทางเดียวกัน

  • พรรคเดโมแครตในอดีต เป็นพรรคที่มองไปยังอนาคตในแง่ดีเสมอ ตั้งแต่ FDR ฉุดประเทศมาจาก Great Depression, JFK พาไปดวงจันทร์ พรมแดนใหม่ (New Frontier Spirit), Bill Clinton มีเพลงหาเสียง “Don’t Stop Thinking about Tomorrow” หรือ Obama พูดเรื่อง Hope & Change
  • แต่ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เดโมแครตสูญเสียคุณค่าเหล่านี้ไป กลับกลายเป็น Trump ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้นำสายเทคโนโลยีอย่าง Elon Musk และ Marc Andreessen แทน เขาไปพูดที่งานสัมนาคริปโต แล้วได้รับการยืนปรบมือ มันต้องบอกอะไรสักอย่าง
  • Trump เชิดชูความเสี่ยง พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปครั้งใหญ่ จนได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้ชายอายุน้อย โดยเฉพาะคนเชื้อสายฮิสปานิกและเอเชีย ที่ย้ายมาเลือก Trump กันเยอะมาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรของฐานเสียงที่ชัดเจนที่สุด
  • เดโมแครตจะสันนิษฐานว่าคนอายุน้อยจะเลือกเดโมแครตตลอดไป มันไม่ใช่อีกแล้ว เดิมที เดโมแครตเคยเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเทค อย่าง Obama ได้รับเสียงโหวตอย่างล้นหลามจาก Silicon Valley
  • แต่ปีกซ้ายเดโมแครตเอง กลับวิจารณ์ Obama ว่าไปเอาใจภาคธุรกิจ ภาคเทคโนโลยีมากเกินไป จนสูญเสียฐานเสียงคนชั้นแรงงาน ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นกลับกัน
  • Fareed อ้างคำวิจารณ์ของ Ezra Klein นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดังอีกคน ว่านโยบายเศรษฐกิจของเดโมแครตนั้น “ซ้าย” ขึ้นเรื่อยๆ เพราะหวังเรียกคะแนนจากคนชั้นแรงงาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Bill Clinton ชนะเสียงโหวตจากกลุ่มคนที่ไม่มีปริญญา 14 จุดในปี 1996 แต่พอมาถึงปี 2024 Kamala Harris แพ้ในฐานเสียงกลุ่มเดียวกัน 14 จุด แปลว่าคะแนนหายไป 28 จุด แสดงว่าแนวทางของเดโมแครตไปผิดทาง
  • Trump ผสมผสานนโยบายประชานิยม (populism) ร่วมกับสาย libertarian ดึงพลังจากกลุ่มเศรษฐี จนได้ชัยชนะ
  • Fareed ชี้ว่า โหวตเตอร์ของเดโมแครตเป็นกลุ่ม upper middle class ที่ต้องการเลือกพรรคที่เก็บภาษีจากตัวเองเพิ่ม มาสนับสนุนประเด็นเชิงวัฒนธรรม เช่น ผู้อพยยพ อัตลักษณ์ หรือที่เรียกรวมๆ ว่า woke
  • นโยบายต่อต้านรัฐของ Trump จับใจกลุ่มคนที่ถูกรัฐทอดทิ้ง มองว่าระบบมีปัญหาประสิทธิภาพ คอร์รัปชัน
  • เดโมแครตมองว่าตัวเองแพ้เพราะรอบนี้ไม่มีกองเชียร์เบอร์ใหญ่ๆ แบบ Elon Musk และ Joe Rogan แต่แท้จริงแล้วสองคนนี้เป็นผู้สนับสนุนเดโมแครตมาตลอด (Rogan เรียกตัวเองว่าเป็น Bernie Bro คือสนับสนุน Sanders)
  • การเมืองเป็นเรื่องของการขยายฐาน (a game of addition) ซึ่งเดโมแครตกลับทำลายฐานเสียงตัวเอง ในขณะที่ Trump ขยายฐานแฟนๆ กลุ่มใหม่ๆ ได้ตลอด