หลังจากม็อบคนรุ่นใหม่เริ่มกลายเป็นวาระแห่งชาติ ผมก็พยายามหาคำอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ แต่ก็ไม่ค่อยเจอคำอธิบายที่โดนใจสักเท่าไรนัก จนกระทั่งได้มาอ่านบทสัมภาษณ์ อ.เกษียร เตชะพีระ ใน 101 ล่าสุด
The 101 World นอกจากการเป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ที่โดดเด่นแล้ว อ.เกษียร ยังเป็นเจ้าของคำอธิบาย “ฉันทามติภูมิพล” (The Bhumibol Consensus) ที่ผมคิดว่าเป็นการสรุปการเมืองไทยในยุค ร.9 (หลังปี 2516) ได้อย่างเห็นภาพ (บทความเรื่อง The Bhumibol Consensus)
กล่าวโดยสรุปคือ “ฉันทามติภูมิพล” แบ่งออกเป็น 4 ด้าน
- ด้านเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบโตอย่างไม่สมดุล โดยถ่วงทานไว้ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- ด้านการเมือง : ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ด้านอุดมการณ์ : ราชาชาตินิยมหรืออุดมการณ์ชาติพันธุ์ไทยภายใต้พระราชอำนาจนำ
- ด้านศาสนา : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก
ปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นในปี 2563 ถ้าใช้การอธิบายแบบเกษียร จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น Post-Bhumibol Consensus นั่นเอง
แกนหลักที่สุดในกรอบการมองของเกษียรจากบทความนี้ คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แบ่งเป็น 3 เลเยอร์
- การเมืองในระบบเป็น ‘ปฏิกิริยา’
- การเมืองภาคประชาชนเป็น ‘ปฏิรูป’
- การเมืองวัฒนธรรมเป็น ‘ปฏิวัติ’
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเมืองทั้ง 3 พื้นที่ใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน
มันมีปัญหาเพราะการเมืองสามแบบนี้มีตรรกะกฎเกณฑ์คนละอย่าง การเมืองในระบบโดยเฉพาะในสภาคือศิลปะของความเป็นไปได้ (the art of the possible) การสร้างเสียงข้างมากขึ้นมาแม้กระทั่งจากฝ่ายตรงข้าม แม้กระทั่ง ส.ว. และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณต้องการ เกมการเมืองในสภาคือการสร้างพันธมิตรทางการเมืองและการสร้างเสียงข้างมาก ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร
ส่วนการเมืองภาคประชาชนมีจุดสำคัญคือการรวมคนให้ได้มากที่สุดและเหลือคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามน้อยที่สุด ต้องมีเป้าที่ชัดเจน เป็นเส้นค่อนข้างชัดเจนในเชิงอุดมการณ์ ต่างจากในสภาที่มีชักเท้าเข้า-ออก เปลี่ยนแนวร่วมไปเรื่อยๆ
ขณะที่การเมืองวัฒนธรรม ศัตรูมันอยู่ข้างในคุณ คือความคิดของคุณเอง เรื่องวัฒนธรรมอุดมการณ์แทรกซึมอยู่ในวิธีคิด ในสถาบันสังคม และอยู่ในหัวคุณด้วย
ตอนนี้การเมืองในระบบเป็นปฏิกิริยา การเมืองภาคประชาชนเป็นปฏิรูป การเมืองวัฒนธรรมเป็นปฏิวัติ จังหวะก้าวไม่ไปพร้อมกัน มันขัดแย้งกัน
การสร้างสมดุลใหม่ในยุค Post-Bhumibol Consensus จึงเป็นการซิงก์จังหวะของ 3 เลเยอร์นี้เข้าด้วยกัน คำถามคือซิงก์กันอย่างไร
ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเกษียร ได้ประเมินสถานการณ์ในยุค Post-Bhumibol Consensus ด้วยกรอบ 4 ด้านข้างต้นใหม่
- ด้านเศรษฐกิจ : ทุนนิยมเหลื่อมล้ำ หรือ ‘ทุนนิยมแบบช่วงชั้น’ (hierarchy capitalism) ที่ทุนใหญ่กินก่อนแล้วมาแบ่งให้ทุนเล็กกินทีหลัง (โครงการประชารัฐ)
- ด้านการเมือง : เดิมคือ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ตอนนี้สถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยกำลังออกห่างจากกัน
- ด้านอุดมการณ์ : “ราชา” กับ “ชาตินิยม” ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะพระมหากษัตริย์เริ่มอยู่ต่างประเทศมากกว่า
- ด้านศาสนา : เกษียรบอกยังคิดไม่ออก (ฮา)
โครงสร้างข้างต้นนี้ยังไม่เสถียร และกำลังมุ่งไปสู่นิยามใหม่ เกษียรเสนอว่า
แต่อย่างน้อยจะต้องปรับดุลสามด้าน ซึ่งในตอนนี้เสียดุล คือระหว่าง ‘สถาบันกษัตริย์-ประชาธิปไตย’ ‘รัฐ-สังคม’ และ ‘ชนชั้นนำ-ประชาชน’ ตอนนี้มันเบ้ทางสถาบันกษัตริย์ รัฐ ชนชั้นนำมากเกินไป ต้องเอียงไปทางประชาธิปไตย สังคม ประชาชนมากขึ้น แต่จะแค่ไหนอย่างไรเป็นเรื่องการต่อสู้นับจากนี้