ดูคลิปของ Michael Sandel อาจารย์ชื่อดังจาก Harvard ผู้เขียนหนังสือ Justice อันโด่งดัง ออกรายการทีวี TVO ของแคนาดา เล่าเรื่องความพ่ายแพ้ของพรรคฝ่ายซ้าย (Democrats) ต่อ Donald Trump
ผมเคยเขียนเรื่อง The Diploma Divide: Why Democrats Lost ที่อ้างถึงบทสัมภาษณ์ของ Sandel มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่การให้สัมภาษณ์ของ Sandel รอบนี้เกิดขึ้น 1 สัปดาห์หลัง Trump รับตำแหน่งแล้ว และยาวขึ้น ให้รายละเอียดที่เยอะขึ้น (แม้ไอเดียหลักยังเหมือนเดิม) จึงควรค่าแก่การมาจดบันทึกไว้
- พรรคแนวซ้าย-กลาง (centre-left) กำลังหมดแรงในทางการเมือง (politically exhausted) จำเป็นต้องคิดเรื่องภารกิจและเป้าหมายกันใหม่
- ปัญหาสำคัญของ Democrat คือ ทอดทิ้งกลุ่มชนชั้นแรงงาน (working class) ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค
- Kamala Harris ช่วยกระตุ้นพลังให้แคมเปญเลือกตั้งของพรรค จากที่ซึมไปช่วง Biden แต่เป็นการกระตุ้นได้แค่ชั่วคราว (booster) เพราะไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิดพื้นฐานของพรรค
- ชนชั้นแรงงานเจอปัญหาค่าแรงไม่เพิ่มมาเกือบ 5 ทศวรรษ บวกกับเจอปัญหาการดูถูกของชนชั้นกลาง เกิดภาวะไม่พอใจต่อประชาธิปไตย (Democracy Discontent ซึ่งเป็นชื่อหนังสือของ Sandel) ปัญหานี้เกิดขึ้นกับพรรคซ้ายกลางทั่วโลก
- ตอนแรกคนมองชัยชนะของ Trump ปี 2016 ว่าฟลุค และชัยชนะของ Biden ปี 2020 คือการฟื้นฟู (restoration) การกลับสู่การเมืองกระแสหลัก แต่ชัยชนะของ Trump อีกรอบในปี 2024 อาจกลายเป็นว่า Trump นั่นแหละคือกระแสหลักอันใหม่ ส่วนรัฐบาล Biden 4 ปีที่ผ่านมาคือช่วงเว้นจังหวะ (interregnum)
- นับจากทศวรรษ 90s ที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย โลกาภิวัฒน์แบบ neoliberal สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้แพ้และชนะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพรรค Democrat และพรรคซ้าย-กลางในหลายๆ ประเทศถือเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของโลกาภิวัฒน์เวอร์ชันนี้
- หลังจากการลดระเบียบ (deregulation) ก็เกิดวิกฤตการเงิน อเมริกาต้องอุ้มแบงค์ ชีวิตของชาวบ้านก็ลำบากขึ้น ทำให้เกิดความโกรธ ความไม่พอใจของประชาชน ซึ่ง Democrat ไม่ได้หาวิธีแก้ไขความโกรธเกรี้ยวนี้ ในขณะที่ Trump สัมผัสมันได้ แม้โซลูชันของ Trump อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้ก็ตาม
- Sandel เห็นด้วยกับมุมมองของ Bernie Sanders ที่มองว่า Democrat ทอดทิ้งชนชั้นแรงงาน โดยต้องเริ่มจากยุค 80s ที่ Ronald Raegan และ Margaret Thatcher ส่งเสริมเศรษฐกิจระบบตลาดเต็มขั้น ฝ่ายซ้ายกลางในยุคถัดมาคือ Bill Clinton และ Tony Blair ได้สืบทอดแนวทางนี้ โดยปรับส่วนที่มีปัญหาให้ดีขึ้น แต่พื้นฐานของเศรษฐกิจตลาดเสรียังเหมือนเดิม มีเขตการค้าเสรี การไหลเวียนของทุนอย่างเสรี ความเหลื่อมล้ำจึงเพิ่มขึ้น และประชาชนรู้สึกว่าส่งเสียงอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยิน
- Sandel บอกว่าการค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องดี แต่เขามีปัญหากับโลกาภิวัฒน์แบบ neoliberal ที่มีเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Disney ต่ออายุ Mickey Mouse ได้เรื่อยๆ) หรือเรื่องสิทธิบัตรยา ที่อยู่ในสัญญา FTA จนทำลายความเป็นชุมชนของชาติลงไป ถึงแม้เศรษฐกิจภาพรวมโต แต่ความมั่งคั่งกระจายไม่ทั่วถึง
- ประเด็นเรื่อง identity politics นั้นผูกกับเรื่องเศรษฐกิจอย่างแนบแน่น และเปลี่ยนจาก feft vs right มาสู่ open vs closed (ประเด็นเดียวกับที่ Fareed Zakaria พูดไว้)
- ประเด็นเรื่องพรมแดน ผู้อพยพ โยงกับเรื่อง national identity มาก เดิม ฝ่ายซ้ายมองว่าพรมแดนของชาติไม่สำคัญ ถ้าแบบนั้นอัตลักษณ์ของชาติก็ไม่สำคัญ (if borders don’t matter, neither do national identities)
- พรรค Democrat ไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้ แต่กลับไปสนับสนุน identity บางอย่างที่กีดกันผู้คนออกไป เป็นความผิดพลาดของ Democrat ที่ไม่สนใจเรื่องความรักชาติ (patriotism) ความเป็นชุมชน
- นิยามคำว่า freedom ของ Democrat เป็นการตีความแบบแคบเกินไป และมักหมายถึง เสรีภาพในการเลือกทำแท้ง (freedom to choose) ซึ่งเป็นการถกเถียงหลักอันหนึ่งของ Democrat ในการเลือกตั้งรอบนี้ แต่คนทั่วไปจะมองความหมายของ freedom ในเซนส์ที่กว้างกว่า
- Sandel เห็นด้วยกับคลิปของ JD Vance (ที่ตอนนี้เป็นรองประธานาธิบดี) วิจารณ์บริษัทรถไฟ จาก เหตุการณ์รถไฟตกรางครั้งใหญ่ในรัฐโอไฮโอปี 2023 ว่าไม่จริงใจกับการแก้ปัญหา เอาแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง โดย Sandel บอกว่าประชานิยม (populism) ของฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย (Sanders) มีความคล้ายคลึงกันบางอย่าง ส่วนที่คล้ายคือวิจารณ์บริษัทใหญ่ ในเคสนี้คือบริษัทรถไฟ แต่ Sandel ก็อยากหมายรวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้ไปรวมหัวกับ Trump ด้วย ซึ่งรัฐบาล Trump 1.0 ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีการลดภาษีที่บริษัทใหญ่ๆ หรือคนรวยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์
- Sandel เล่าเหตุการณ์ที่เขาไปเที่ยวฟลอริด้า แล้วเจอคนจากรัฐไอโอวาในโรงแรม พอเขาแนะนำตัวว่ามาจากบอสตัน คนนี้ก็บอกว่า “คนไอโอวาอ่านหนังสือออกนะ” และ “เราไม่ชอบคนจากชายฝั่ง” (หมายถึงฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของอเมริกา ที่เจริญกว่าในประเทศ) ซึ่ง Sandel บอกว่าเป็นเซนส์ของคนในภาคกลางของประเทศ ที่ไม่พอใจการดูถูกจากคนรวยๆ ที่อาศัยอยู่ชายฝั่งอเมริกาทั้งสองด้าน (coastal elites) เขาโยงเข้าไปหนังสืออีกเล่มของตัวเอง The Tyranny of Merit ที่วิจารณ์ว่าผู้ชนะจากโลกทุนนิยม มักมองว่าชัยชนะเกิดจากฝีมือตัวเอง (merit) ล้วนๆ ซึ่งไม่จริง และกลายเป็นไปดูถูกคนที่ขาดโอกาสว่าไม่พยายามมากพอ
- ข้อเสนอของ Sandel ในการลดความแตกแยกในประเทศ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองว่าถ้าอยากลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มรายได้ อยากมีงานและชีวิตที่ดี (dignified work in a decent life) ทางออกคือต้องไปเรียนมหาวิทยาลัย (ซึ่งคน 2/3 ของอเมริกาไม่มีเงินไปเรียนมหาวิทยาลัย) และถ้าทำไม่ได้ ทางออกเดียวที่เหลือคือพัฒนาตัวเอง มุมมองแบบนี้ต้องเลิก
- ถัดมาคือต้องสร้าง civic society ใหม่ ให้คนต่างพื้นเพ ต่างชนชั้น ต่างเชื้อชาติ ได้มาเจอกัน เรียนรู้ความแตกต่างของกันและกัน เพราะทุกวันนี้ต่างคนต่างอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีคนรวยคนจนไปนั่งดูเบสบอลในสนามเดียวกัน นั่งปะปนในสแตนด์เดียวกัน แต่ตอนนี้คนรวยไปนั่งแยกในชั้น private box ส่วนคนจนเลิกไปดูเบสบอลแล้วเพราะจ่ายค่าตั๋วไม่ไหว เราต้องสร้างพื้นที่ส่วนกลาง สนามกีฬา ห้องสมุด ขนส่งสาธารณะ สวนสาธารณะ ที่ทำให้คนทุกหมู่เหล่าได้มาเจอกัน