in Economics, Knowledge, Thoughts

ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40

มีโอกาสดูคลิปบรรยายหัวข้อ Life begins at 40 ของราชสมาคมอังกฤษ (The Royal Society) ที่โดย Professor Mark Jackson อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์การแพทย์จาก University of Exeter มาเล่าเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ของประโยคว่า “ชีวิตเริ่มต้นตอนอายุ 40” ให้ฟังกัน ว่ามีอะไรลึกซึ้งกว่าที่คิดกัน (คลิปนี้คนดูไป 5 ล้านวิว 😮)

อ. Jackson บอกว่าปัญหาเรื่อง middle age และ midlife (ซึ่งอาจไม่เหมือนกันซะทีเดียว) มีมาสักระยะแล้ว โดยยกกรณีของนิยายเรื่อง The Fall and Rise of Reginald Perrin (ทำซีรีส์ฉายทาง BBC ในช่วงปี 1970s) เกี่ยวกับชายที่มีปัญหา midlife crisis มาเป็นตัวอย่าง

อ. Jackson บอกว่าในช่วงหลังสงคราม มีการพูดถึงสาเหตุของ midlife crisis กันอยู่สองทางหลักๆ คือ

  • ทางจิตวิทยา (psychological) เป็นเรื่อง identity crisis
  • ทางชีวภาพ (biological) คือมองว่าเป็นขาลงของชีวิต (downward curve of life) สมรรถนะทางร่างกายลดลง (declining biological vitality) เช่น กล้ามเนื้อลดลง ผมร่วง ผมบาง ผมหงอก ในกรณีของผู้หญิง ยังมีเรื่องความสามารถในการตั้งครรภ์ (reproductive capacity) หายไป ซึ่งผู้หญิงจะเข้าใจและมีความคาดหวังเรื่องนี้อยู่แต่แรกแล้ว แต่ผู้ชายอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม อ. Jackson ชี้ว่ามันมีคำอธิบายในมุมที่กว้างกว่าปัจเจก คือมีเรื่องสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาเกี่ยวข้องด้วย

ในช่วงทศวรรษ 1950-60s เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม ให้คนอายุยืนขึ้น แต่งงานเร็วขึ้น (กว่าในอดีต) มีลูกเร็วขึ้น มีอายุการทำงานชัดเจนว่ากี่ปีเกษียณอายุ ไม่เปลี่ยนงานเลยตลอดชีวิต เกิดเป็นแผนชีวิตมาตรฐาน (standardized life course) ว่าต้องมีช่วงที่แต่งงาน มีลูก เกษียณอายุจากการทำงาน

พอสภาพสังคมวัฒนธรรมเป็นแบบนี้ คนเลยเริ่มเกิดภาวะ age anxiety หรือ age consciousness ที่เริ่มวัดผลว่าชีวิตตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง หรือล้มเหลวไปแล้ว เทียบกับหลักหมายในชีวิต (milestone of life) ตามมาตรฐานสังคมกำหนดไว้ (คำที่ดีมากอันหนึ่งคือ socially prescribed timetable)

ในทางเศรษฐกิจ ยังมีประเด็นเรื่องภาวะ midlife stresses คือช่วงอายุที่ลูกยังไม่โต พ่อแม่เริ่มแก่จนเป็นภาระต้องดูแล คนวัยตรงกลางจึงกลายเป็น sandwich generation ถูกบีบทั้งสองทาง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ

  • ประเด็นในแง่การเงิน คนได้มรดกช้าลง สมัยก่อนได้ตอนอายุ 37 ปี (ปี 1891) ขยายมาเป็น 56 ปี (ปี 1946) คนวัยทำงานได้เงินมรดกจากพ่อแม่ช้าลง ความอู้ฟู่ในชีวิตอาจน้อยลง
  • ความเหงา ผู้หญิง 1950s มีชีวิตอยู่ต่ออีก 52 ปี หลังคลอดลูกคนสุดท้าย ลูกโตแยกบ้านไป อยู่เหงาๆ ลำพังคนเดียว
  • ประเด็น standardized life course มีผลกับการแต่งงานในแต่ละช่วงของชีวิตด้วย เป็นเหตุว่าทำไมคนหย่าร้างตอน 40-50 เพราะการแต่งงานในช่วงอายุ 20-30 ไม่ตอบโจทย์ชีวิตในยุคถัดมาแล้ว

หัวข้อถัดมาคือ อ. Jackson ไปตามหาประวัติของประโยคว่า “Life Begins at Forty” ว่าเริ่มต้นขึ้นอย่างไร พบข้อมูลดังนี้

  • เริ่มใช้ครั้งแรกในหนังสือของ Theodore Parsons เมื่อปี 1917 แต่เป็นเรื่องการให้ผู้หญิงมีสุขภาพดีในช่วง 40 เป็นต้นไป (Death begins at thirty. The best part of a woman’s life begins at forty) แต่คนมักเอาแต่วลีด้านหลังสุดมาใช้งาน
  • ประโยคนี้เริ่มมาฮิตในหนังสือ Life Begins at Forty เป็น self-help เขียนโดย Walter Pitkin เมื่อปี 1932 แล้วมีคนเอาไปทำหนังในปี 1935 ด้วย
  • หนังสือเล่มนี้เป็นการปรับวิธีคิดเรื่อง midlife แทนที่จะมองเป็นช่วงขาลงของชีวิต กลับมองว่า ชีวิตเรายังมีช่วงเวลาที่ดีอีกมากในช่วงอายุ 40-70 คืองานน้อยลง เงินเยอะขึ้น มีเวลาไปนันทนาการมากขึ้น ดังนั้นคนควรใช้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกรอบ (a strategy for personal renewal)
  • บริบทของหนังสือเล่มนี้ เขียนหลังวิกฤตเศรษฐกิจ The Great Depression of 1929 ทำให้มันไม่ได้มองในเชิงปัจเจกอย่างเดียว แต่มองถึงอนาคตของสังคมด้วยว่าชีวิตของคนเราจะต้องดีขึ้น ซึ่งเขียนไล่เลี่ยกับหนังสือ The American Dream ในปี 1931 ที่มองอนาคตว่าคนอเมริกันจะมีชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพ

อ. Jackson สรุปว่าคนเราไม่ได้แก่เพราะปัจจัยชีวภาพอย่างเดียว แต่เราแก่เพราะสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม (we age by history and culture) และ midlife crisis นั้นพูดได้เต็มปากว่าเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม

ขอบคุณมิตรสหาย Lek Monchai ที่แนะนำให้ดูคลิปนี้ด้วยครับ ว่าจะเขียนถึงมานานแล้วเพิ่งมีโอกาสและเวลาว่างมานั่งเขียนดีๆ

หมายเหตุ: หลังดูคลิปนี้จบ ผมคิดว่าประเด็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของยุคสมัย (ที่เป็นคนละยุคกัน) น่าจะใช้อธิบายเรื่องความกดดันทางสังคมอย่างมหาศาลต่อวัยรุ่นยุค Gen Z ได้ในลักษณะเดียวกัน (เคยมีเขียนๆ แตะประเด็นนี้ไว้บ้าง)