in Politics

Leaderless World: Welcome to the Jungle

ฟัง Francis Fukuyama ผู้เขียนหนังสือ The End of History and the Last Man ไปออกรายการของ Ian Bremmer กลายเป็นสองนักวิเคราะห์ผู้ยิ่งใหญ่ของวงการ Geopolitics มานั่งคุยกันถึงอนาคตของโลกปี 2025 ที่รัฐบาล Trump 2.0 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกด้วย

ภาพประกอบขอยืมจากหนัง Jumanji ที่ชื่อภาคพูดถึง Jungle

ประเด็นสำคัญจากรายการ (เรียงตามลำดับการพูดในรายการ)

  • Ian Bremmer เรียกยุคนี้ว่า A Leaderless World คือโลกที่ไม่มีใครเป็นผู้นำ และเพิ่งรู้จากรายการตอนนี้ว่า Bremmer ตั้งชื่อบริษัทของเขาเองว่า GZERO ด้วยเหตุผลนี้คือหมายถึง G”0″ ในลักษณะเดียวกับ G7 แต่ใช้เลข 0 เพื่อบอกว่าไม่มีประเทศไหนหรือกลุ่มประเทศไหนเลยที่สามารถขับเคลื่อนโลกได้ลำพัง
  • Bremmer บอกว่าเขาไม่ได้มอง Trump เป็นปัจจัยเสี่ยงของโลกปี 2025 เพราะเขาไม่ใช่เหตุแต่เป็นผล (he’s not the cause but rather a symptom)
  • ระเบียบโลกยุคจากนี้ไปจะสับสนมาก เพราะมันไม่ถูกจัดระเบียบตามอุดมการณ์ (it’s not organized ideologically) แต่อุดมการณ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในดุลอำนาจโลก
  • โลกยุคหน้าจะกลับไปเป็น “ป่า” (jungle) ใช้ “กฎแห่งป่า” ใครมีกำลังเยอะกว่าชนะ แทนการใช้ระเบียบโลกทางกฎหมายแบบเดิม
  • ระเบียบโลกเดิมถูกสร้างโดยอเมริกา มาตั้งแต่ยุคกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย (1991) แต่ดูเหมือนว่าผ่านมา 30 กว่าปี อเมริกากำลังจะ “ถอนตัว” (checking out) ออกจากหน้าที่นี้
  • ระเบียบโลกเดิมของอเมริกา อยู่บนเศรษฐกิจตลาดเปิด การค้าเสรี แต่อเมริกาภายใต้แนวทางของ Trump จะแคบลงจากเดิม (a much narrower) มาก จะเน้นการหาประโยชน์สูงสุด (maximize) โดยไม่มีหลักการใดเป็นสำคัญ อเมริกาจะไม่ทำประโยชน์เพื่อโลก (public good) อีกต่อไป
  • วิธีคิดเดิมของอเมริกาจะเน้นประโยชน์จากเสถียรภาพระยะยาว  ไม่หาประโยชน์ระยะสั้น เช่น บุกอิรักหรือคูเวตแล้วไม่ไปครอบครองบ่อน้ำมัน แต่ในยุคของ Trump จะกลับกันคือมองหาประโยชน์ระยะสั้น ไม่ได้สนใจว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไร (short-termism)
  • ในยุคแห่งป่า ถ้าเราอยู่ในชั้นล่างของห่วงโซ่อาหารก็อันตรายหน่อย แต่ถ้าอยู่บนสุดของหวงโซ่ มันอาจเป็นโลกที่ดีเหมือนกัน
  • ยุคแห่งป่า เกิดจากอเมริกามีพลังอำนาจลดลง ถึงแม้พลังทางเศรษฐกิจยังถือว่าโอเคอยู่ แต่ในแง่การเมืองภายใน อเมริกาแตกแยกอย่างหนัก ไม่สามารถสร้างข้อตกลงร่วมระหว่างเดโมแครต-รีพับลิกัน (bipartisan consensus) ได้อีกแล้วว่าต้องการพาอเมริกาไปทางไหน
  • ชาติพันธมิตรของอเมริกาเองก็อ่อนแอลงหมด เช่น รัฐบาลทรูโดในแคนาดา, ปัญหาการเมืองในเกาหลีใต้, เยอรมนี, ฝรั่งเศส อ่อนแอกันหมด
  • ชัยชนะของ Trump และรีพับลิกันในการเลือกตั้งปี 2024 อาจทำให้ Trump เข้าใจผิดไปว่ามีอำนาจมาก แต่จริงๆ แล้วถึงแม้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา ก็ยังนำเดโมแครตอยู่นิดเดียว ไม่ได้มี mandate ทางการเมืองยิ่งใหญ่ แบบที่ Franklin D. Roosevelt เคยมีในช่วงหลังปี 1932 หรือ Lyndon B. Johnson เคยมีในช่วงหลังปี 1964 ดังนั้น Trump เปราะบางกว่าที่เรา (และตัวเขาเอง) คิด
  • Fukuyama ยังไม่แน่ใจนักว่า Trump จะปฏิบัติกับจีนอย่างไร การขึ้นภาษี สงครามการค้านั้นเป็นไปได้ แต่ในแง่การทหาร โอกาสน่าจะน้อยเพราะตลอดทั้งชีวิต Trump ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนโยบายกลาโหมเลย และเอาเข้าจริงตัวของ Trump พยายามวิ่งหนีจากความขัดแย้งมาโดยตลอดด้วย ในสมัย Trump 1.0 เขามีปฏิบัติการทางทหารนิดๆ หน่อยๆ ในซีเรียเท่านั้น
  • ยุโรปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อยู่ภายใต้ภาพลวงตาของตัวเอง ว่าจะพึ่งพาสหรัฐอเมริกาในประเด็นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน แต่ในอีกทางก็ยังทำการค้ากับจีนได้ โดยเฉพาะเยอรมนีที่มีการค้ากับจีนเยอะมาก แต่ตอนนี้ยุโรปเริ่มรู้ตัวแล้วว่าจะต้องสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอเมริกามากขึ้น
  • อินเดียเป็นผู้นำ Global South ที่ไม่เอาจีนแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ข้างอเมริกาชัดเจนเหมือนกัน เป็นระเบียบโลกแบบเดียวกับยุคสงครามเย็น
  • เดิมทีนั้น ประเทศพวกอิหร่าน เกาหลีเหนือ ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นพันธมิตรกันจริงๆ จังๆ ขายอาวุธให้กันและกัน ส่งทหารไปช่วยกัน (ตัวอย่างคือรัสเซียใช้ทหารเกาหลีเหนือในยูเครน) ส่วนจีนแม้ไม่ได้เข้าไปยุ่งโดยตรง แต่ก็ช่วยสนับสนุนรัสเซียอยู่เงียบๆ
  • Xi Jinping นั้นต่างจาก Putin ตรงที่ระวังตัวกว่ามากๆ ที่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องดุลอำนาจของโลก แบบที่รัสเซียส่งทหารไปช่วยประเทศต่างๆ เช่น ซีเรีย
  • ฝ่ายขวาอเมริกานั้นเคย “ไปสุด” ในยุคเศรษฐกิจ Neoliberal ทุนนิยมที่ไร้การควบคุมใดๆ จนเละในปี 2008 ส่วนฝ่ายซ้ายอเมริกาก็ “ไปสุด” อีกทางจาก identity politics ที่สร้างความแตกแยก และเป็นเหตุสำคัญให้เดโมแครตแพ้เลือกตั้งในปี 2024
  • ค่านิยมแบบ liberal democracy กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากรีพับลิกัน โดยเฉพาะฝั่ง liberal ในขณะที่ฝั่ง democracy นั้นไม่ค่อยโดนแล้ว เพราะ Trump ชนะการเลือกตั้งปี 2024 (ฮา) ฝ่าย Trump เลยกลับมาเคารพประชาธิปไตยใหม่อีกครั้ง
  • หลักการสำคัญของ liberal อย่าง rule of law หรือ check & balance จะถูกท้าทาย ปรากฏการณ์หนึ่งที่ Fukuyama คิดว่าน่าสนใจคือ “excessive proceduralism” หรือการมีกฎระเบียบ กระบวนการมากเกินไป จนเราไม่สามารถสร้างอะไรใหม่ๆ ได้บนแผ่นดินอเมริกาอีกแล้ว เป็นเพราะฝ่าย liberal เชื่อในการผลักดัน social justice ผ่านกลไกภาครัฐ จนออกกฎระเบียบมาเต็มไปหมด อย่างในแคลิฟอร์เนีย ตอนนี้แทบสร้างอะไรไม่ได้เลย แม้เป็นสิ่งที่ liberal เองก็ต้องการ อย่างฟาร์มโซลาร์ที่เป็นพลังงานสะอาด
  • การที่ประเทศมีกฎเกณฑ์มากเกินไปจนทำอะไรไม่ได้ ทำให้คนเริ่มมองว่า รัฐบาลเผด็จการอาจดีกว่า เพราะอย่างน้อยสร้างผลลัพธ์ให้เกิดได้จริง ตัวอย่างผู้นำเผด็จการของ El Salvador ที่ได้รับความนิยมสูงจากคนในประเทศก็มาจากปัจจัยนี้ (อาชญากรรมเยอะ จับคนเข้าคุกเยอะๆ อาชญากรรมลดลง 90% ทันที!)