in Technology

การศึกษา ปรับตัวอย่างไรในยุค AI

คำถามว่า “การศึกษาจะต้องปรับตัวอย่างไรในยุค AI” น่าจะเป็นหนึ่งใน big question แห่งยุคสมัย

เมื่อพูดถึง “การศึกษา” เป็นหัวข้อที่คนมีส่วนร่วมได้กว้างขวาง ในยุคสมัย AI คุกคามไปทั่วทุกวงการ คนทั่วไปย่อมสนใจคำถามนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคนเป็นพ่อแม่คงต้องยิ่งสนใจเข้าไปอีก เพราะเกิดคำถามขึ้นตลอดเวลาว่า “เราจะเตรียมการศึกษาให้ลูกอย่างไร”

ส่วนตัวแล้วยอมรับว่าไม่ทราบคำตอบเหมือนกัน รู้แค่ว่ามันคงไม่ใช่ทางออกสองสุดปลาย ทางหนึ่งคือการเอา AI มาใช้งานกับทุกอย่าง ในอีกทางหนึ่งคือตัดขาด แบน ห้ามเด็กใช้เทคโนโลยีไปเลย

ถ้าอ้างตามชื่อหนังสือดังแห่งยุคคือ The Narrow Corridor มันคงต้องมี “ทางเดินแคบๆ” ที่เหมาะสมนั่นแหละ เพียงแต่เดินยังไงให้ถูกทาง ไม่ให้ตกเหวตายไปก่อนระหว่างทาง ตรงนี้คงเป็นสิ่งที่สังคมต้องหาคำตอบร่วมกัน

สัปดาห์ก่อนเจอคลิปของ Ezra Klein ผู้เขียนหนังสือ Abundance สัมภาษณ์นักการศึกษา  Rebecca Winthrop จาก Brookings Institution เชิญมาคุยเรื่องการศึกษากับ AI โดยเฉพาะเลย ลองตามไปอ่านประวัติผลงานเธอแล้ว ทำเรื่องการศึกษามาเยอะ โดยเฉพาะการศึกษาในประเทศกำลังพัฒนา ประเทศที่มีสงคราม มีผู้อพยพ เขียนหนังสือด้านการศึกษามาหลายเล่ม

ในฐานะผู้สนใจทั่วไปที่ไม่ใช่ domain expert การไปฟังคนที่เขารู้จริงถกเถียงกันน่าจะได้ประโยชน์กว่านั่งคิดเองเออเอง ฟังจบแล้วพบว่าบทสัมภาษณ์นี้อาจไม่ได้มี “คำตอบ” ที่เป็นสูตรสำเร็จ แต่ได้เห็นการถกเถียง และได้ framework ในการคิดเรื่องการศึกษากลับมาเยอะพอสมควร จึงนำมาสรุปประเด็นเอาไว้

 

หมายเหตุ: ใครขี้เกียจดูคลิป มีเวอร์ชันถอดเทปบทสัมภาษณ์ใน The New York Times

1. เราเรียนกันไปทำไม?

Winthrop บอกว่าเธอได้รับคำถามเรื่องการศึกษากับ AI จากคนรอบตัวอยู่บ่อยๆ

คำตอบของเธอคือพ่อแม่ต้องกลับไปถามคำถามพื้นฐาน 3 ข้อกับตัวเองให้ได้ก่อน

  1. Why do you want your kids to be educated? ทำไมเราถึงอยากให้ลูกได้รับการศึกษาในยุคสมัยที่ AI เขียนบทความแทนได้ ไปสอบแทนได้ดีกว่าเราซะอีก จุดประสงค์ของการศึกษาในสายตาพ่อแม่ในยุคนี้คืออะไร อะไรคือความฝัน ความหวังของพ่อแม่? นี่คือสิ่งพื้นฐานที่สุด
  2. How kids learn? เรียนอย่างไร เรื่องนี้มีการถกเถียงและพูดกันพอสมควรแล้ว
  3. What should they learn? เรียนอะไร เนื้อหา บทเรียน ทักษะที่เหมาะกับยุคสมัยนี้คืออะไร

Winthrop บอกว่าคนทั่วไปมักมองการศึกษาเป็นการ “ส่งผ่านความรู้” (a transactional transmission of knowledge) ซึ่งถูกแค่เพียงบางส่วน เพราะการศึกษายังมีคุณค่าส่วนอื่นๆ เช่น การให้เด็กเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น, การรู้จักตัวเอง, การพัฒนาทักษะที่ยืดหยุ่นเพื่ออยู่รอดในยุคสมัยที่ไม่แน่นอน ฯลฯ สำหรับเธอแล้วส่วนนี้คือ “why”

2. ทักษะสำคัญของเด็กในยุค AI

Ezra Klein เข้ามาถกเถียงในประเด็นว่าในยุคที่ผ่านมา เราให้การศึกษากับลูกเพื่ออยากให้มีชีวิตที่ดี ซึ่งตัวชี้วัดสำคัญคือเรียนเพื่อ “ให้ได้ทำงานดีๆ” (a good job) ต่อให้เรียนไม่เก่งแต่ตอนจบได้ทำงานดีๆ ก็ถือว่าสำเร็จ แต่ถ้ากลับด้านกัน แม้เรียนดีแต่สุดท้ายไม่ได้งานดีๆ ต้องถือว่าล้มเหลว แนวคิดแบบนี้ยังเป็นจริงในยุคสมัยที่ AI ทำงานดีๆ แทนเราได้หรือไม่

Winthrop มองว่า ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้คือ การกระตุ้นให้เด็กมีแรงบันดาลใจไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ (how motivated and engaged kids are to be able to learn new things) เมื่อมีแรงบันดาลใจแล้ว เด็กจะสามารถไปค้นหาความรู้ได้เอง เด็กที่มีแรงบันดาลใจ เด็กที่รู้สึกว่ามาโรงเรียนแล้วสนุก รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน จะมาเรียน จะมีส่วนร่วมในชั้นเรียน จะทำการบ้านมาส่งเอง

ทักษะที่สำคัญข้อถัดมาคือ เด็กควรมีความรู้มากพอในระดับหนึ่ง เพียงพอที่จะตัดสินได้ว่าอะไรจริงอะไรปลอม

สุดท้ายคือ เราอยากให้เด็กมีประสบการณ์ มีโอกาสเรียนและทดลองสร้างโซลูชันใหม่ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งการศึกษาแบบดั้งเดิมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้

Winthrop บอกว่าเราจำเป็นต้องสร้างให้เด็กมี “กล้ามเนื้อของการทำงานยากๆ” (muscle of doing hard things) คนยุคก่อน AI สั่งสมทักษะความอดทนทำงานยากๆ มาเยอะ เมื่อเจอ AI ช่วยให้งานง่ายขึ้นมากจึงรู้สึกว่าเป็นเครื่องทุ่นแรงได้มาก แต่เด็กที่โตมาในยุค “ไร้แรงเสียดทาน” จาก AI จะไม่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อส่วนนี้ได้

3. การเรียนรู้ 4 ประเภท

ในหนังสือของ Winthrop เล่าว่าเธอทำวิจัยเรื่องวิธีการเรียนรู้ของเด็กมา 3 ปี ได้ข้อสรุปว่าเด็กมีวิธีการเรียนรู้ 4 วิธี (four modes of engagement)

  1. Passenger mode เรียนไปเรื่อยๆ อาจไปโรงเรียนสม่ำเสมอ ส่งการบ้านตลอด ทำคะแนนได้ดี แต่เอาจริงๆ ก็เบื่อการเรียน
  2. Achiever mode ตั้งใจเรียนเพื่ออยากได้เกรดดีๆ คะแนนเต็ม
  3. Resistor mode กลับกัน เลี่ยงการเรียน หรือพยายามขัดขวางการเรียน
  4. Explorer mode เด็กรักการเรียนรู้จริงๆ โปรแอคทีฟมากๆ กับการเรียน

Winthrop บอกว่า passenger mode สังเกตได้ยากที่สุด เพราะเด็กดูไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆ แล้วเด็กอาจรู้สึกเบื่อการเรียน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น เนื้อหาที่เรียนนั้นง่ายเกินไป สิ่งที่เราอาจคุ้นเคยกันคือ ครูมาเฉลยการบ้านของเมื่อวานที่เราทำถูกทุกข้อ เข้าใจหมดแล้ว แต่ก็ต้องรอเพื่อนคนอื่นที่ตามไม่ทันด้วย

ถ้าจะมีสัญญาณบอกเพื่อสังเกต passenger mode อาจเป็นการที่เด็กบ่นว่าโรงเรียนน่าเบื่อ หรือกลับมาบ้านแล้วรีบทำการบ้านเร็วๆ เพื่อให้รีบๆ จบๆ กันไป

ในด้านกลับ passenger mode อาจเป็นเด็กที่รู้สึกว่าโรงเรียนยากเกินไป เด็กรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ใช่ที่ของเรา หรือขาดทักษะบางอย่างที่จำเป็นในการเรียน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมทักษะต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ หากพลาดทักษะหรือความรู้บางส่วนจะไปต่อไม่ได้ เด็กกลุ่มนี้ต้องได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

เด็กกลุ่ม passenger mode นี่แหละที่ต้องระวังเรื่องการใช้ AI ที่สุด เพราะเด็กรู้สึกเบื่อ ไม่อยากเรียน แต่ก็ต้องเรียน เช่น ต้องอ่านหนังสือ ทำรายงาน ที่ตัวเองไม่อิน แต่ต้องทำเพื่อคะแนน ดังนั้นจึงเอา AI เข้ามาช่วยอ่าน ช่วยเขียน เพื่อให้จบๆ กันไป แล้วสุดท้ายก็ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรในระยะยาว การห้ามหรือไล่จับเด็กว่าใช้ AI ช่วยทำการบ้านหรือไม่ นั้นไม่ช่วยอะไร

ส่วนเด็กกลุ่ม explorer mode ที่อยากเรียนรู้มาก จะใช้ AI ช่วยขยายพรมแดนได้มาก เพราะจะรู้สึกอยากเขียนรายงานเอง แต่ใช้ AI ช่วยค้นคว้า ช่วยแก้คำ ส่วนกระบวนการคิดเป็นลำดับขั้นตอน รวบรวมข้อมูลมาสร้างตรรกะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ critical thinking นั้นเด็กจะลงมือทำเอง

4. ทำอย่างไรให้เด็กมี Engagement กับการเรียน

Winthrop ยกตัวอย่างแนวทางของบางโรงเรียน ที่พยายามหาวิธีการเรียนรู้ที่ปรับตามเด็ก

โรงเรียนในรัฐ North Dakota มีระบบ “สตูดิโอ” สำหรับนักเรียนที่วัยรุ่นหน่อย ให้สร้างชั้นเรียนของตัวเองได้ กำหนดมาตรฐานเองว่าทำอย่างไรจึงจะผ่าน มีเด็ก ม.4 (grade 10) คนหนึ่งที่เบื่อเรียนในห้อง แล้วมาค้นพบว่าอยากทำ escape room (การเล่นแบบหนึ่งที่ให้เราหาวิธีหลบหนีออกจากห้อง) เรื่องการลอบสังหารประธานาธิบดี Lincoln/Kennedy ซึ่งต้องใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์-ประวัติศาสตร์เข้าช่วย เธออินมาก หลังจากทำ escape room เสร็จ เธอกลับมาสนุกในการเรียน และกลับมาเข้าชั้นเรียนปกติได้ แม้ยังไม่สนุกกับการเรียนแบบดั้งเดิมเต็มร้อย แต่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะหาวิธีปรับตัวเข้ากับมันได้

อีกตัวอย่างคือ การใช้เทคโนโลยีช่วยเรียนวิชาหลักๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน สังคม วันละ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นที่เหลือเด็กจะต้องทำโปรเจคร่วมกันในหัวข้อที่ตกลงกันเองว่าจะทำอะไร (Winthrop ยังยกตัวอย่าง Alpha School โรงเรียนเอกชนในสหรัฐที่มีแนวทางคล้ายๆ กัน แต่เธอบอกว่าไม่ได้สนิทสนมกับโรงเรียนกลุ่มนี้มากนัก)

Winthrop บอกว่าเด็กจำเป็นต้องหา “ประกายไฟ” (spark) ของตัวเองให้เจอ แต่ละคนอาจมีหลาย spark และเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาได้ แต่เมื่อเด็กเจอ spark แล้ว จะเกิดแรงขับเคลื่อนภายในให้เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น สนุกขึ้น เป็นวัฏจักรทางบวก (virtuous upward cycle) สั่งสมไปเรื่อยๆ ซึ่งระบบโรงเรียนในปัจจุบันยังไม่ได้มีวิธีการสนับสนุนเด็กให้เปิดโหมด explorer เท่าที่ควร

5. งานของครูในโรงเรียน ไม่ได้มีแต่สอน

Winthrop เห็นด้วยกับการนำ AI มาใช้งานบางอย่างในโรงเรียน แต่เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า งานของครูไม่ได้มีแต่การสอนหนังสือ

แต่ครูก็มีงานอื่นๆ อีกเยอะมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำทั้งหมด เช่น

  • ต้องเชี่ยวชาญในวิชาที่ตัวเองต้องสอน
  • ต้องสังเกตเด็กว่าแต่ละคนขาดเหลืออะไร (figure out who needs what เช่น เด็กแบบ passenger mode มีทั้งแบบที่ฉลาดเกินจนเบื่อ และตามไม่ทันจนเบื่อ ทั้งสองคนจะนั่งเงียบในห้องเหมือนกัน แยกแยะอย่างไร)
  • ต้องบริหารความสัมพันธ์ในห้องเรียน ไม่ให้เด็กตีกัน หรือทำลายข้าวของ
  • จัดการสุขภาพจิตของเด็ก เหมือนเป็นนักจิตวิทยา
  • จัดการความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง

Winthrop บอกว่างานเยอะขนาดนี้ อาจต้องจัดแบ่งหน้าที่กันใหม่ แล้วเอา AI มาช่วยในงานบางอย่าง เช่น การพัฒนาทักษะและการส่งผ่านความรู้ (skill development and knowledge transmission) เป็นสิ่งที่เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ ไม่ต้องถึงขั้น AI ก็ได้ เพราะทุกวันนี้เราใช้ซอฟต์แวร์หลายตัวมาช่วยในการเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหาการเข้าถึง (access gap เช่น มีครูไม่พอ ครูทักษะไม่พอกับการสอนบางวิชา)

เธอยกตัวอย่างโครงการในไนจีเรีย ที่นำ AI มาสอนภาษาอังกฤษหลังเลิกเรียน สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นเวลา 6 สัปดาห์ มีการศึกษาผลลัพธ์ และควบคุมตัวแปรอย่างเป็นระบบ ซึ่งผลออกมาดี เทียบเท่ากับการเรียนภาษาอังกฤษ 2 ปี

มีตัวอย่างแบบเดียวกันสำหรับประเทศอื่นๆ อย่างมาลาวี ครูคนเดียวสอนเด็ก 80-100 คน โดยให้เด็กใช้แท็บเล็ตแบบออฟไลน์ แต่มีฟีเจอร์ personalized ตามความเร็วของเด็กแต่ละคน

นอกจากนี้เด็กที่มีปัญหาข้อจำกัดทางกายภาพในการเรียน มีปัญหาตามเพื่อนไม่ทัน หรือขาดนักพัฒนาการผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ การนำเทคโนโลยีเข้ามาจะช่วยแก้ access gap เหล่านี้ได้ชัดเจน

Ezra Klein เสริมมุมมองว่า AI คือ “the best available human” เป็นตัวแทนมนุษย์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีในโอกาสนั้น ไม่ใช่มนุษย์ที่เก่งที่สุด แต่ดีกว่ามนุษย์ที่มีให้ในตอนนั้น (not the best human but the best human available to you at that given moment?) ตัวเขาเขียนบทความลง The New York Times มี บ.ก. เกรดดีที่สุดในโลกช่วยคอมเมนต์งานให้ แต่คนที่เข้าไม่ถึงทรัพยากรเหล่านี้ ก็ใช้ บ.ก. AI แทนไปพลางๆ ก่อนได้

แต่เราก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้มากแค่ไหน คงไม่ต้องถึงเอาเด็กทุกคนมานั่งเรียนกับ AI ส่วนตัวในหน้าจอ ตลอดทั้งวัน 8 ชั่วโมง

แต่งานบางอย่าง AI ก็ช่วยไม่ได้ เช่น การควบคุมอารมณ์ของตัวเองเมื่ออยู่ในกลุ่ม การทำความเข้าใจมุมมองของเด็กคนอื่นๆ ที่มีพื้นเพต่างกัน การเรียนรู้ที่จะกล้าขอความช่วยเหลือเมื่อเจอปัญหา เรื่องพวกนี้เป็นการเรียนแบบ person-to-person

6. การใช้ AI ในโรงเรียน

Winthrop บอกว่าถ้าเราปล่อยให้ใช้ AI ในโรงเรียนแบบไร้ข้อจำกัด มันจะกลายเป็นการทดลองขนาดใหญ่ที่ไม่มีการควบคุม (a massive, uncontrolled experiment,) และเด็กจะกลายเป็นหนูทดลอง

คำแนะนำของเธอคือ อย่าเพิ่งใช้ generative AI กับการศึกษา ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่าเราทำไปเพื่ออะไร นักการศึกษาต้องสู้กับภาวะ fear of missing out (FOMO) หรือการกลัวตกขบวนเทคโนโลยี เราไม่ควรใช้มันเพียงแค่มันเป็นของใหม่ ถ้าจะลองก็ควรลองกับผู้ใหญ่ ลองกับครู ลองกับนักการศึกษาก่อนว่าจะหาวิธีนำมันมาใช้งานได้อย่างไร อย่าเพิ่งใช้กับตัวเด็กโดยตรง เราอาจพบว่า AI เหมาะกับการใช้งานบริหารโรงเรียน เช่น จัดการอาหารกลางวัน เส้นทางรถโรงเรียน ปฏิทินการสอน ฯลฯ เพื่อให้ครูมีเวลาว่างมากขึ้นก็ได้

การใช้เทคโนโลยีกับเด็ก มีปัจจัยเรื่องอายุของเด็กเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เด็กเล็กอาจยังไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขนาดนั้น มีหลักฐานชัดเจนว่าการใช้หน้าจอส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็ก เช่น การเรียนรู้ภาษา ที่เด็กเรียนจากมนุษย์ แต่เมื่อเด็กโตขึ้น การสอนให้รู้เท่าทัน social media หรือ AI ก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การรู้เท่าทันบริษัท social media ว่าให้เราใช้บริการฟรี แต่พยายามทำให้เราเสพติด ถ้าเด็กรู้ตัวเรื่องนี้ก็จะช่วยให้ระวังตัวเองได้ เราต้องมีการสอน AI literacy รู้เท่าทัน AI ในลักษณะเดียวกัน (AI literacy ไม่ได้เรียนการใช้ AI แต่เป็นการรู้ว่ามันคืออะไร สร้างมายังไง ประโยชน์และความเสี่ยงคืออะไร)

คำแนะนำอีกข้อคือ เธอมองว่าบริษัทเอกชนที่อยากทำเรื่องเด็กนักเรียน ควรจดทะเบียนเป็น benefit corporation / public benefit corporation (ตามกฎหมายสหรัฐ) หรือที่บ้านเราเรียก social enterprise เน้นประโยชน์ทางสังคม มากกว่าประโยชน์ธุรกิจ เพราะเราเริ่มเห็นบริษัท AI ชื่อดังหลายราย เริ่มเสนอแพ็กเกจ AI ให้นักเรียนใช้งานฟรีกันแล้ว เช่น ChatGPT, xAI, Gemini ให้เด็กใช้ฟรี 1 ปี แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ออกแบบมาสำหรับเด็กเล็ก

เธอบอกว่าเราไม่สามารถนำเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์มาใช้ในโรงเรียน แล้วหวังว่ามันจะแก้ปัญหาได้ทันที เทคโนโลยีเหล่านี้ต้องมีกลไกป้องกันบางอย่าง ที่จะไม่สร้างอันตรายให้กับเด็ก เธอใช้คำว่า “contain the system” ต้องจำกัดการทำงานของระบบ

เธอบอกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นเรื่องยากมาก ในทางหนึ่งเราอยากให้เด็กใช้เทคโนโลยีคล่อง ไม่ตกยุค แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อยากให้เด็กๆ มีจริยธรรม มีความตระหนักรู้ ไม่ถูกล่อลวงจนเสพติดเทคโนโลยี ซึ่ง AI ก็เข้าข่ายนิยามเหล่านี้เช่นกัน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เธอบอกว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (human-to-human interaction) มันจะพรีเมียมขึ้น แพงขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น เพราะงานและทักษะต่างๆ เริ่มถูกแทนด้วย AI