in Business

AI Bubble 2025

โลก AI เข้าสู่ภาวะฟองสบู่จริงไหม?

น่าจะเป็นคำถามที่มีคนถามผมเยอะมากในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากไปนั่งฟัง อ่าน คิด มาสักพักหนึ่ง คิดว่าน่าเขียนถึงเรื่องนี้ไว้สักหน่อย

ถ้าให้ตอบแบบฟันธงก็คือ ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้ารู้ก็คงรวยไปนานแล้วล่ะ 555

แต่ถ้าให้ลองตีกรอบ (framing) คำถามให้แคบลง ผมว่าเราสามารถแยกย่อยคำถามออกได้ 3 ข้อหลักๆ คือ

  1. ความต้องการพลังประมวลผล AI มีเยอะจริงหรือไม่
  2. รายได้จาก AI คุ้มค่าลงทุน infra หรือไม่
  3. ถ้าฟองสบู่แตกจริงๆ มันจะไปแตกที่ตรงไหน

ความต้องการพลังประมวลผล AI มีเยอะจริงหรือไม่

คำตอบของคำถามนี้คงต้องไปดูจากฝั่ง supply คือผู้ผลิตชิป ว่าความต้องการมันมีจริงรึเปล่า

ผมฟัง Jensen Huang ไปขึ้น เวทีรวมมหาเทพ AI ของ Financial Times (จะเขียนถึงเรื่องนี้อีกที) เขาเปรียบเทียบว่าในยุค dotcom bubble นั้นมีการลงทุนในสายไฟเบอร์ออปติกส์ (ในฐานะ “โครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต”) กันอย่างบ้าคลั่ง แต่สายไฟเบอร์จำนวนมากกลับไม่ถูกใช้งานจริง (dark fiber) ซึ่งเป็นอาการของฟองสบู่ ในขณะที่ยุคนี้ มี GPU เท่าไรก็ไม่พอ ผลิตมาได้กี่ตัวก็ถูกใช้งานจนหมด

อีกประเด็นที่ Jensen พูดไว้น่าสนใจคือ ในโลกซอฟต์แวร์ยุคก่อนหน้านี้ เราเอาพลังประมวลผลมาคอมไพล์ซอร์สโค้ดมาเป็นไบนารีซอฟต์แวร์ก่อน แล้วแจกจ่ายไบนารีไปรันบนเครื่องอื่นๆ ในภายหลัง การคอมไพล์ (ที่ใช้พลังประมวลผลเยอะๆ) ทำครั้งแรกครั้งเดียว หลังจากนั้นเราใช้พลังซีพียูไม่เยอะเท่าครั้งแรก แต่ในยุค AI มันต้องประมวลผลใหม่ทุกครั้ง เพราะต้องการคำตอบที่เป็น context-aware ขึ้นกับบริบทด้วย ไม่สามารถเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าได้มากนัก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกยุค AI ถึงต้องการพลังประมวลผลสูงมาก

ฟัง Jensen พูดแล้วก็เข้าที แต่ก็อย่าลืมว่าแกมี conflict of interest เป็นคนขาย GPU ยังไงก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ฟองสบู่อยู่แล้ว ลองหาความเห็นอื่นมาเทียบดู และเพิ่งมีเอกสารหลุดของกูเกิล (แปลว่าไม่ได้ตั้งใจออกมาพูดเอาหล่อเอาเท่ เป็นข้อมูลจริง) มาเทียบ

เอกสารนี้เป็นของ Amin Vahdat หัวหน้าฝ่าย AI infrastructure ของกูเกิล พูดในที่ประชุมพนักงานภายในบริษัท โดยเขาบอกสั้นๆ แต่ตรงประเด็นว่า “Now we must double every 6 months…. the next 1000x in 4-5 years.” อ่านแล้วน่าจะเข้าใจตรงกันทุกคน

Vahdat บอกว่าการแข่งเรื่อง infra เป็นสิ่งสำคัญที่สุด (the most critical) ในโลก AI ตอนนี้ และเป็นสิ่งที่แพงที่สุดด้วย ในขณะที่ Sundar Pichai ก็ตอบคำถามพนักงานว่า เราจะพยายามรักษาการลงทุนให้พอดีๆ คือไม่ overinvest และไม่ underinvest เพราะความเสี่ยงของการลงทุนน้อยไปแล้วโดนคู่แข่งแซงหน้า มันสูงมาก

คำตอบจากทั้ง NVIDIA และกูเกิลน่าจะไปในทางเดียวกันว่า demand เป็นของจริง และ supply มีไม่พอ ถ้ายังอยากอยู่ในการแข่งขันต่อไปก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลงทุนเพิ่ม

รายได้จาก AI คุ้มค่าลงทุน infra หรือไม่

คำถามถัดมาคือ ลงทุนค่า infra ราคาแพงมหาศาล แล้วบริษัทต่างๆ สามารถสร้างรายได้กลับมาได้จริงหรือไม่ คุ้มค่าแค่ไหน

อันนี้คงต้องแยกเป็นรายบริษัทไป บุคคลหัวแถวอย่าง Jensen ยกตัวอย่างของ Cursor บริษัทเจ้าของระบบ AI เขียนโค้ดชื่อดัง ว่าทำกำไรได้ดีมาก (very profitable) แต่ผมคิดว่ากรณีของ Cursor ที่อยู่ในตลาดเฉพาะทาง แล้วเป็นผู้นำในตลาดนี้ด้วย การทำกำไรได้เยอะ ไม่น่าจะเป็นตัวแทนของภาพรวมอุตสาหกรรมได้ดีนัก

บริษัทที่ทุกคนจับตาคงหนีไม่พ้น OpenAI (และ Anthropic ในระดับรองลงมา) ว่าคนใช้งานมหาศาลจริงๆ แล้วคนจ่ายเงินเยอะจริงไหม?

ตัวเลขล่าสุดที่ OpenAI เปิดเผยช่วงต้นเดือน พ.ย. 2025 คือมีผู้ใช้งาน 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ และมีลูกค้าธุรกิจจำนวนกว่า 1 ล้านราย ในแง่การเติบโตคงไม่มีใครสงสัย แต่รายได้มันโตตามในสัดส่วนที่ทันกันหรือไม่

เนื่องจาก OpenAI ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูลการเงินจึงไม่เปิดเผยมากนัก ตัวเลขล่าสุดที่หาได้มาจาก ปากของ Sam Altman เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ว่าปี 2025 น่าจะมีรายได้ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเยอะกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้านี้

เราไม่มีข้อมูลอยู่ดีว่า รายได้เยอะจริงแล้วขาดทุนเท่าไร แต่ก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่าตัวเลขรายได้กับการขาดทุนของ OpenAI อยู่ในระดับพอๆ กัน (แปลว่าต้นทุนเป็น 2 เท่าของรายได้) และผมคิดว่าอัตราขาดทุนน่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่มีลดลง

พี่ Sam ของเราให้ตัวเลขเองว่า “ประกาศลงทุน” ไปแล้ว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งเขาพูดชัดเจนว่าต้องสร้างรายได้ให้เติบโตอีกมากๆ เพื่อเอามาใช้ลงทุนตรงนี้

บริษัทสุดฮ็อตอย่าง OpenAI ไม่มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดในระยะสั้น อยากได้เงินเท่าไรมีแต่นักลงทุนยักษ์ใหญ่มาต่อคิวกันหัวกระไดไม่แห้ง แต่ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว สถานการณ์ของ OpenAI เริ่มไม่ค่อยดีนักด้วย 2 เหตุผลคือ

  1. ทรัพยากรประมวลผล (GPU) มีจำกัด และ OpenAI ไม่ได้เป็นเจ้าของเองเลย (ก่อนหน้านี้เช่าไมโครซอฟท์) จึงเป็นเหตุว่าทำไมช่วงหลังเราถึงเห็น OpenAI ประกาศทำดีลมากมายเรื่อง GPU และศูนย์ข้อมูล เพื่อการันตีว่าจะเข้าถึงพลังประมวลผลเหล่านี้ในอนาคตได้ ซึ่งแต่ละดีลมันก็พิสดารพันลึกมากๆ คงไม่ลงรายละเอียดในที่นี้ แต่มันสะท้อนว่าสภาพการบีบคั้นจริงๆ
  2. รายได้ “น่าจะ” ลดลงเพราะการแข่งขันรุนแรง ถ้า OpenAI เป็นเจ้าตลาดแบบนำห่าง ทุกคนต้องยอมจ่ายเงินใช้งาน ChatGPT มันก็น่าจะพอไปได้ แต่สถานการณ์ในปี 2025 กูเกิลมาแรงเหลือเกิน ยิ่งรอบล่าสุด Gemini 3 เอาชนะ GPT-5 ได้เด็ดขาด เราก็แทบไม่มีเหตุผลที่จะต้องจ่ายเงินให้ OpenAI กันอีก ซึ่งคนรอบตัวที่ผมรู้จักจำนวนมากก็ทยอยเลิกจ่ายเงินให้ OpenAI เปลี่ยนมาจ่ายให้ Gemini แทนกันเยอะแล้ว (ตลาดที่ผู้ชนะกินรวบนี่มันน่ากลัวจริงๆ)

เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งมี บันทึกหลุดของพี่ Sam เขียนถึงพนักงาน ยอมรับว่า Gemini 3 ทำออกมาได้ดี และการแข่งขันกับกูเกิลจะสร้าง “ลมต้าน” เรื่องรายได้ (economic headwind) กับ OpenAI เป็นการชั่วคราว

อีกข่าวที่เกี่ยวข้องกันคือในงานสัมมนา Cerebral Valley AI Conference เมื่อเร็วๆ นี้ มีการตั้งคำถามผู้เข้าร่วมงานประมาณ 300 คนว่า ถ้าต้องช็อตหุ้น AI สักตัวจะเลือกบริษัทไหน คำตอบที่นำมาอันดับหนึ่งคือ Perplexity บริษัท AI ที่เรียกตีนที่สุดในยุคนี้ (อันนี้ไม่น่าแปลกใจ) แต่อันดับสองคือ OpenAI ซึ่งก็น่าตกใจไม่น้อย แต่น่าจะสะท้อนมุมมองของคนในวงการได้เป็นอย่างดี

ถ้าฟองสบู่แตกจริงๆ มันจะไปแตกที่ตรงไหน

Demis Hassabis แห่ง DeepMind ไปออกรายการพ็อดแคสต์ไม่กี่วันก่อน เขาบอกว่า “some parts of the AI industry are probably in a bubble.” โดยหมายถึงเงินของนักลงทุนเทไปลงในบริษัท AI ที่ยังไม่มีรายได้เข้ามาจริง

พี่ Sam เองก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า นักลงทุนตื่นเต้นเกินไป (overexcited) และนักลงทุนบางคนน่าจะสูญเงินมหาศาล

เมื่อเร็วๆ นี้ Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิลไปออกรายการ BBC แล้วโดนถามเรื่องนี้ เขายอมรับว่า มีบางส่วนที่ผิดปกติ (there was some irrationality) ในกระแส AI บูมช่วงนี้ และออกตัวว่าไม่มีบริษัทไหนที่จะทนทานต่อฟองสบู่แตก ซึ่งรวมถึงเราเองด้วย (I think no company is going to be immune, including us)

ผมคิดว่ามุมมองของผู้นำในโลก AI น่าจะตรงกันว่าฟองสบู่นั้นมีอยู่จริง คำถามคือมันจะไปแตกที่ตรงไหน

Pichai คนดีคนเดิม ไปตอบคำถามพนักงานในบริษัท แล้วพูดอีกแบบว่า เราอยู่ในตำแหน่งที่ทนทานความผิดพลาดได้ดีกว่าคู่แข่ง (We are better positioned to withstand, you know, misses, than other companies)

ผมเคยเขียนถึงไปหลายครั้งว่า จุดแข็งสำคัญของกูเกิลมี 2 อย่างคือ

  1. พิมพ์เงินเองได้ (literally) จากธุรกิจโฆษณาเดิม ในขณะที่ OpenAI ยังต้องหาเงินจากการระดมทุน
  2. มีทุกอย่างครบอยู่คนเดียว ตั้งแต่ออกแบบชิปเอง มีศูนย์ข้อมูลเอง มีโมเดลเอง มีแอพพลิเคชันของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจ

ถ้าเปรียบเทียบเป็นสงครามโลก กูเกิลคงเป็นสหรัฐอเมริกา ชาติใหญ่มหาอำนาจ มีทรัพยากรมหาศาล แค่ตอนแรกขยับตัวช้าหน่อย กว่าจะตื่นลุกขึ้นมาทำอะไร ส่วน OpenAI คงเป็นเหมือนญี่ปุ่นหรือเยอรมนี ที่เป็นชาติเล็กกว่า ทรัพยากรน้อยกว่า แต่ห้าวเป้ง จู่โจมรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) แต่พอต้องทำสงครามระยะยาว เป็นสงครามทรัพยากรว่าใครหมดก่อนแพ้ (attrition warfare) ก็เสียเปรียบก่อนจะพ่ายแพ้ไป

กลับมาตอบคำถามแรกสุดว่า ฟองสบู่ AI มีจริงไหม? จริงครับ

แล้วมันจะแตกที่ตรงไหน? ไม่ทราบครับ

ทราบแต่ว่าถ้าฟองสบู่ AI แตก มันจะมีบริษัทที่แข็งแกร่งมากๆ ที่บาดเจ็บเล็กน้อย แล้วไปต่อได้แบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะคู่แข่งหายไปเยอะแล้วนั่นเอง

หมายเหตุ:

จริงๆ ยังมีอีกปัจจัยที่ผมคิดว่ามีผลช่วย “ชะลอ” ฟองสบู่ AI ลงไปได้บ้างนิดหน่อยคือ on-device AI หรือการประมวลผลในเครื่องของเราเอง แทนการไปประมวลผลบนคลาวด์ ซึ่งมันจะช่วยลด demand การประมวลผลบนคลาวด์ลงมาได้บ้าง (สำหรับงานที่ไม่ซับซ้อนมาก) แต่คิดว่าไม่ได้มีผลถึงขนาดเปลี่ยนแปลงภาพรวมตลาดได้อยู่ดี