นั่งอ่านข่าวเกี่ยวกับอเมริกาช่วงนี้ ถ้าเป็นสำนวนภาษาอังกฤษก็ต้องบอกว่า Life is a Rollercoaster เลยทีเดียว
เหตุจลาจลที่ Minneapolis คนเดินกลางถนน และเผาอาคารสถานที่ตอนกลางคืน ชวนนึกถึงซีนใน Resident Evil 2 (แค่ไม่มีซอมบี้)
Donald Trump ออกมาฟาดงวงฟาดงาในทวิตเตอร์ และปลุกระดมความรุนแรง เหมือนอ่านความเห็น troll อินเทอร์เน็ตมากกว่าประธานาธิบดี
I can’t stand back & watch this happen to a great American City, Minneapolis. A total lack of leadership. Either the very weak Radical Left Mayor, Jacob Frey, get his act together and bring the City under control, or I will send in the National Guard & get the job done right…..
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) May 29, 2020
ในขณะเดียวกัน การยิงจรวดของ SpaceX เมื่อวันก่อน (ที่ต้องเลื่อนเพราะสภาพอากาศ) ก็ยังแสดงสถานะของ “The greatest country on earth” ได้อยู่
ตกลงแล้ว อันไหนคืออเมริกาที่แท้จริงอันแน่ หรือว่าคือทุกอย่าง?
ความรุนแรงจากปัญหาการเหยียดผิวคนดำใน Minneapolis ชวนให้นึกถึงมิวสิควิดีโอ This is America ของ Childish Gambino (ที่มีหลายคนก็คิดถึงเหมือนกัน)
ปัญหาเรื่องตำรวจคนขาวจับคนดำ (หรือคนขาวโทรเรียกตำรวจมาจับคนดำ) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในอเมริกา มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่กลับมาเป็นอีกรอบ คิดว่าสาเหตุมาจาก “ความเครียดสะสม” ของสังคม ที่โดนปัญหา COVID-19 กระทบเข้าเต็มๆ ทั้งในแง่สุขภาพ (เครียดเพราะกลัวติดไวรัส กลัวตาย) และเศรษฐกิจ (คนตกงานเป็นเบือ) พอมีอะไรมากระตุ้นนิดๆ หน่อยๆ มันก็ระเบิดออกมาได้ง่าย
ปัญหาที่เรื้อรังอย่างอาวุธปืน คนดำ ความแตกแยกทางการเมือง เป็นปัญหาที่สะสมมานาน และยังไม่เห็นวี่แววจะแก้ไขได้ พอมีเหตุชวนให้คนเดือด อารมณ์ของสังคมพลุ่งพล่าน มันจึงกลับมาอีกครั้ง และปัญหาหลายเรื่องจึงออกมาปะทะ ปนกันมั่วไปหมด
ซึ่งก็แน่นอนว่ามันจะส่งผลอย่างมากต่อการเมืองอเมริกา ในการเลือกตั้งปี 2020 เพียงแต่จะจบลงอย่างไร ความโกลาหลนี้ก็สุดที่ใครจะคาดเดาได้ถูกต้อง 100%
Enough.
— Joe Biden (@JoeBiden) May 29, 2020
สถานการณ์เหล่านี้ชวนให้นึกถึงบทความใน Slate ที่เพิ่งอ่านล่าสุด ว่าด้วย American Arrogance ความหยิ่งผยองของคนอเมริกัน ที่สั่งสมมานานเช่นกัน และเป็นสาเหตุหนึ่งของ “ขาลง” ของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ โดยที่ Donald Trump เป็นตัวกระตุ้นให้ฝีปะทุเร็วขึ้นเท่านั้น