อ่านบทสัมภาษณ์ Pat Gelsinger ซีอีโอ Intel (เคยเขียนถึงตอนเป็นซีอีโอ VMware) ซึ่งเป็นช่วงที่สื่อไอทีสายฮาร์ดแวร์บางรายมีโอกาสถามคำถามแบบเจาะลึก (ลึกจริงๆ) และ AnandTech ถอดเสียงคำตอบมาทั้งหมด
สิ่งที่อินเทลกำลังทำอยู่ตอนนี้คือ ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิป ที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ระดับเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ โดยอยู่บนข้อสมมติฐานว่า ความต้องการชิปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คำถาม (ถามโดยคนจาก Tom’s Hardware) คือถ้าต้องลงทุนเป็นจำนวนมากๆ ล่วงหน้านานๆ แบบนี้ แล้วอนาคตเกิดพลิกผัน ความต้องการชิปลดลง จนทำให้กำลังการผลิตเหลือเกิน จะกลายเป็นเสียค่าโง่หรือไม่
Investing in fab capacity is one of the most capital-intensive exercises imaginable. Those are big multi-billion dollar bets, and they have to be placed years in advance. Can you tell us what type of measures Intel is taking to ensure that it doesn’t overinvest or have excess capacity in the event of an industry downturn?
คำตอบของ Gelsinger ทำให้เราเข้าใจวิธีคิดและแผนการลงทุนของอินเทล เขาเรียกแผนการลงทุนนี้ว่า Smart Capital (ลงทุนอย่างไรไม่ให้โง่) โดยมีปัจจัย 3 เรื่องคือ
- อินเทลไม่ลงทุนสร้างโรงงานมานาน ทำให้การลงทุนรอบนี้ใช้เวลานานกว่าโรงงานจะเสร็จ ทางแก้คือให้ลงทุนสร้างโรงงานเปล่าที่ไม่มีเครื่องจักร (spare shell) ทิ้งไว้ก่อน ประหยัดเงินทุน เพราะไม่ต้องจ่ายก้อนใหญ่ทั้งหมด (2 พันล้านดอลลาร์ จากราคาเต็ม 10 พันล้าน) และประหยัดเวลา (1-2 ปีแรกที่ต้องรอโครงเสร็จ)
- อินเทลจะแก้ปัญหาระยะสั้นที่โรงงานไม่พอต่อกำลังผลิต ด้วยการจ้างโรงงานอื่น (เช่น TSMC) ผลิตไปก่อน แต่โมเดลนี้จะให้อินเทลยืดหยุ่นในการปรับกำลังผลิตระหว่างโรงงานตัวเอง-โรงงานอื่น ได้ตลอดเวลา บางเดือนอาจใช้ข้างในผลิตเยอะ บางเดือนน้อย
- อินเทลจะใช้เงินทุนจากลูกค้าพาร์ทเนอร์ รวมถึงรัฐบาลมาช่วยจ่าย ทำให้ไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด กรณีของลูกค้า หากต้องการกำลังผลิตเยอะ อินเทลสามารถขอให้ลูกค้าจ่ายล่วงหน้ามาเพื่อช่วยจ่ายค่าโรงงาน (โมเดลนี้ TSMC/Samsung ก็ใช้) ส่วนภาครัฐบาล ตอนนี้สหรัฐกำลังมีกฎหมาย CHIPS Act มูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์ ช่วยเอกชนลงทุนสร้างโรงงาน และในยุโรปก็กำลังมีกฎหมายแบบเดียวกัน
ในสถานการณ์ที่มีกำลังผลิตล้นเกิน Gelsinger บอกว่าจะใช้กำลังผลิตนี้ไปผลิตสินค้าเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา (พูดง่ายๆ คือยอมผลิตชิปแม้ขาดทุน เพื่อแลกกับส่วนแบ่งตลาด), นำเสนอกำลังการผลิตนี้ให้ลูกค้าใหม่ๆ ในราคาถูก (เพื่อชิงลูกค้าใหม่) และสุดท้ายคือลดการจ้างโรงงานภายนอก กลับมาใช้โรงงานของตัวเองแทน
เขาบอกว่าไม่ว่าทิศทางตลาดไปทางไหน อินเทลจะได้ประโยชน์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม ได้ลูกค้าผลิตชิปเพิ่ม ลดการใช้โรงงานภายนอกลง (มาร์จินสูงขึ้น) นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Smart Capital