เขียนข่าวเรื่อง Ken และ Roberta Williams ผู้ก่อตั้ง Sierra On-Line กลับมาทำเกมอีกครั้ง เลยคิดว่าควรมาจดประวัติของบริษัท Sierra อีกตำนานของวงการเกมพีซี ที่น่าเสียดายว่าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างยั่งยืน
บทความในชุดประวัติศาสตร์เกมเก่า (History of Games)
- History of Eidos
- The Origin of Wolfenstein 3D
- The Oregon Trail
- Rockstar Games
- Ken Levine ผู้สร้างเกมตระกูล BioShock
- Alone in the Dark
- John Madden Football
- Development of Super Mario Bros. 3
- PlatinumGames
- Bethesda
- Mortal Kombat มีกี่ภาค
- PlayStation vs Nintendo vs Sega
เคสของ Sierra ถือว่าน่าสนใจตรงที่ผู้ก่อตั้งเป็นคู่สามี-ภรรยา ซึ่งค่อนข้างหาได้ยากอยู่แล้ว แถมเป็นการก่อตั้งบริษัทในปี 1979 ถือว่าไม่ธรรมดาเข้าไปอีก และยิ่งไปกว่านั้นคือจุดสร้างความแตกต่างของ Sierra ไปอยู่ที่ตัวภรรยา Roberta Williams ที่เป็นคนเขียนบทเกมด้วย ส่งผลให้เกมผจญภัยของ Sierra สนุกสนาน น่าติดตาม ฉีกแนวไปจากเกมอื่นๆ ในยุคเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีบทความปี 2020 ใน Vice เล่าประวัติของ Sierra นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการถูกซื้อกิจการ และขาลงของบริษัทจนต้องปิดตัว
Sierra ยุคก่อตั้ง
เรื่องราวการก่อตั้ง Sierra เริ่มมาจากสามี Ken Williams ที่ตอนนั้นเป็นโปรแกรมเมอร์ IBM ตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์ Apple II มาที่บ้าน ทำให้ Roberta ติดเกมผจญภัยแบบ text-based งอมแงม (เกมสำคัญคือ Colossal Cave Adventure หรือต้นกำเนิดของเกมแนว Adventure ในปัจจุบัน) เธอจึงตัดสินใจสร้างเกมของตัวเองขึ้นมา
บริษัท On-Line Systems ก่อตั้งในปี 1979 เกมแรกคือ Mystery House ออกในปี 1980 และขายเป็นแผ่นดิสก์ทางไปรษณีย์ ถือเป็นเกมผจญภัยเกมแรกที่มีกราฟิกประกอบด้วย ทำให้เกมประสบความสำเร็จอย่างมาก และ Roberta ต้องสร้างเกมผจญภัยประกอบกราฟิกใหม่ๆ เพิ่มมาอีกหลายเกม
บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Sierra On-Line ในปี 1982 โดยชื่อ Sierra แปลว่า “ภูเขา” ในภาษาสเปน มาจากเทือกเขา Sierra Nevada ในแคลิฟอร์เนีย
เกมเด่นในช่วงนั้นของ Sierra นอกจากเกมผจญภัยแล้วยังมีเกมกบกระโดด Frogger ที่ไปซื้อสิทธิจาก Sega มาพอร์ตลงแผ่นดิสก์ในปี 1983 นอกจากนี้ Sierra ยังเป็นผู้จัดจำหน่ายเกม Ultima ของ Richard Gariott บริษัทเกมรุ่นเดียวกัน โดยเริ่มจาก Ultima II ในปี 1982
เกมที่สร้างชื่อให้ Sierra มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเกมผจญภัยซีรีส์ King’s Quest ที่เริ่มภาคแรกในปี 1984 จุดเด่นคือกราฟิกแบบ interactive ตัวละครเดินไปเดินมาในฉากได้ แตกต่างจากภาพกราฟิกนิ่งๆ + คำบรรยายของเกมยุคก่อนหน้า
เกมถัดมาในตระกูล Quest คือ Space Quest ที่เริ่มในปี 1986 สร้างโดยอีกทีมใน Sierra เปลี่ยนฉากเป็นอวกาศ และประสบความสำเร็จเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Leisure Suit Larry เกมแนวทะลึ่งที่ออกในปี 1987 และ Police Quest เกมแนวตำรวจสอบสวนในปี 1987 เช่นกัน
Sierra เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1989 เกมเด่นในยุคถัดมาคือ Gabriel Knight (1993) และ Phantasmagoria (1995)
โดนซื้อกิจการ และจุดสิ้นสุด
ยุคทองของ Sierra จบลงหลังจากเจอซีรีส์ของการควบกิจการอย่างต่อเนื่องหลายรอบมาก
ปี 1996
- บริษัทมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อได้รับข้อเสนอซื้อจาก CUC International บริษัทด้านโฮมช็อปปิ้งรายใหญ่ ที่มีแผนกว้านซื้อบริษัทเกมหลายๆ แห่งเข้ามารวมกัน (หนึ่งในนั้นคือ LucasArts) ปีนั้น CUC ซื้อ Sierra ในราคา 1.5 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทซอฟต์แวร์สายการศึกษา Davidson & Associates ซึ่งเป็นเจ้าของ Blizzard Entertainment อยู่ก่อนแล้ว ในราคา 1.6 พันล้านดอลลาร์ (จ่ายเป็นหุ้นทั้งหมด) นำมารวมกันเป็น CUC Software
- ปี 1996 ยังมีความสำคัญอีกอย่างคือ Ken Williams พบกับผู้ก่อตั้ง Valve (ที่ลาออกจากไมโครซอฟท์มาเปิดบริษัทเกม) และได้สิทธิเป็นผู้จัดจำหน่าย Half-Life
ปี 1997
- บริษัทแม่ CUC ควบรวมกับบริษัทเชนโรงแรม HFS กลายเป็นบริษัทใหม่ชื่อ Cendant ส่วนบริษัทลูก CUC Software เปลี่ยนชื่อเป็น Cendant Software
- Ken Williams ลาออกจาก CUC/Cendant
ปี 1998
- Cendant ประสบปัญหาทางการเงิน-การลงบัญชีปลอม, Cendant Software ถูกขายต่อให้กับบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ฝรั่งเศส Havas, บริษัทซอฟต์แวร์เปลี่ยนชื่อเป็น Havas Interactive
- Roberta Williams ลาออกจาก Cendant (รอทำเกม King’s Quest VIII ให้เสร็จ ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของเกมด้วย)
ปี 1999
- Havas ถูกซื้อกิจการโดย Vivendi บริษัททีวีภาพยนตร์ของฝรั่งเศส
- Sierra ปรับลดขนาดบริษัทลง ปลดพนักงานประมาณ 250 คน และเริ่มลดบทบาทการพัฒนาเกมเองลง เปลี่ยนเป็นผู้จัดจำหน่ายเกมอย่างเดียว
- Sierra จัดจำหน่ายเกม Homeworld ของ Relic Entertainment ที่ขึ้นชั้นเป็นเกมในตำนานอีกเกม
ปี 2001
- Vivendi ควบรวมกับ Universal บริษัทภาพยนตร์ของสหรัฐ กลายเป็น Vivendi Universal, บริษัทซอฟต์แวร์เปลี่ยนชื่อเป็น Vivendi Universal Interactive Publishing และเปลี่ยนอีกรอบเป็น Vivendi Games
- Sierra ปิดสตูดิโอ Dynamix ในเครือ ปลดพนักงานออก
ปี 2002
- Sierra On-Line เปลี่ยนชื่อเป็น Sierra Entertainment
ปี 2004
- Sierra ปิดสตูดิโอสองแห่งสุดท้ายคือ Impressions Games และ Papyrus Design Group
ปี 2007
- Activision ซื้อกิจการ Vivendi Games เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Activision Blizzard
ปี 2008-2009
- Activision ปิดธุรกิจของ Sierra อย่างสมบูรณ์ ขายไลเซนส์เกมบางเกมออก และยังถือไลเซนส์ของบางเกมเอาไว้
Ken Williams ออกหนังสือเล่าประวัติของ Sierra ชื่อ Not All Fairy Tales Have Happy Endings ขายเมื่อปี 2020 เล่าว่า Sierra ถือเป็นลูกของเขาที่โดน “ฆาตกรรม” โดย Walter Forbes ซีอีโอของ CUC ที่มาซื้อกิจการเขาในราคาแพง ก่อนที่จะมารู้ความจริงในภายหลัง (โดยบริษัท HFS ที่มาควบกับ CUC) ว่า CUC ตกแต่งบัญชี และบีบให้ Forbes ต้องลาออกในปี 1997
ทุกคนใน Sierra (รวมถึง Roberta) นั้นไม่อยากให้ขายบริษัทเลย แต่สุดท้าย Ken ก็ตัดสินใจเลือกขายบริษัทเพราะตัวเงินสูงจนปฏิเสธไม่ได้ (ให้มากกว่าราคาหุ้น Sierra 69%)
ด้าน Ken ต้องมาอยู่ใต้อำนาจของ Bob Davidson ในฐานะผู้นำของหน่วย CUC Software ที่เกิดจากการควบรวมของ Sierra และ Davidson (รวมถึง Blizzard) ทำให้เขาไม่พอใจและต้องไปคุมยูนิตอื่นใน CUC ในขณะที่ฝั่ง Roberta ก็ประสบปัญหาในการพัฒนาเกม King Quest VIII ภาคแรกที่เป็น 3D แต่ทีมงานใหม่ที่อยู่ใต้การควบคุมของฝั่ง Davidson ไม่สนใจเธอในฐานะผู้ให้กำเนิดเกมนี้เลย
เหตุนี้ทำให้ Ken ลาออกในปี 1997 และ Roberta ลาออกในปี 1998 หลัง King Quest VIII วางขาย ทั้งสองคนโชคดีที่ขายหุ้น CUC ออกไปก่อนควบรวมกับ HFS และถูกขุดคุ้ยเรื่องการแต่งบัญชี ทำให้ยังขายหุ้นได้ราคาอยู่ แต่ก็มีพนักงานหลายคนของ Sierra ที่ขายไม่ทัน และสูญเสียความมั่งคั่งไปมาก
หลัง Ken และ Roberta ลาออกจาก CUC ช่วงปี 97-98 มีเซ็นสัญญาห้ามทำเกมใหม่มาแข่งเป็นเวลา 5 ปี ทำให้ทั้งสองคนเกษียณตัวเองจากวงการเกมไปเลย ก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 2022 กับเกม Colossal Cave 3D Adventure ที่เป็นการนำเกมที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองมารีเมคอีกครั้ง
ส่วนมรดกของ CUC Software ที่ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน มีแค่เพียง Blizzard เท่านั้น