in Games

Alone in the Dark

ช่วงนี้มีข่าวรีมาสเตอร์เกมเก่ายุค 2000s ออกมากันเยอะ เช่น Alan Wake และ KOTOR พอเขียนข่าวเกม Alan Wake เลยชวนให้นึกถึงเกมสยองขวัญซีรีส์อื่นๆ อย่าง Alone in the Dark

เด็กยุค 90s แบบเราๆ เคยเห็นชื่อเกมเหล่านี้ตามนิตยสารเกมคอมยุคนั้น (Computer Time และ IT Games) เคยเล่นบ้างไม่เคยเล่นบ้างแล้วแต่จังหวะชีวิต

Alone in the Dark ภาคแรกออกในปี 1992 เป็นเกม 3D รุ่นแรกๆ ที่ใช้กราฟิกแบบโพลีกอนผสมฉากหลังแบบบิตแมป ผู้สร้างเกมนี้คือ Frédérick Raynal โปรแกรมเมอร์ชาวฝรั่งเศส ที่ตอนนั้นเป็นพนักงานของ Infogrames บริษัทเกมฝรั่งเศส (ปัจจุบันคือ Atari SA ซึ่งเกิดจาก Infogrames ไปซื้อแบรนด์ Atari ในปี 2001 แล้วเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Atari แทน เพราะมองว่าแบรนด์ดังกว่า)

Raynal อยู่ในทีมสร้างเกม Alpha Wave (1990 อันนี้เพิ่งรู้จัก) ซึ่งเป็นเกม 3D รุ่นแรกๆ ทำให้เขามีประสบการณ์ด้านออกแบบเกม 3D และเสนอตัวสร้างเกมสยองขวัญ 3D กับบริษัท ช่วงแรกเกมใช้ชื่อว่า “In the Dark” และ “Scream in the Dark” ก่อนเปลี่ยนมาใช้ Alone in the Dark

ไอเดียของ Alone in the Dark ภาคแรกคือ ใช้ฉากเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ในรัฐลุยเซียนา ช่วงทศวรรษ 1920s (จากที่เคยไปคฤหาสน์พวกนี้แถบลุยเซียนามา มันอยู่ในไร่ฝ้ายใหญ่ๆ ตอนที่มันร้างก็น่ากลัวจริงแหละ แถมแถบนั้นมีเรื่องแม่มดวูดูอะไรเข้ามาด้วย) ตัวเอกเป็นนักสืบที่เข้ามาในบ้านร้างเพื่อหาของ แต่สุดท้ายต้องติดอยู่ในบ้านร้างนั้นแล้วหาทางออกมา

เกมได้อิทธิพลจากลัทธิมอนสเตอร์ Cthulhu Mythos ของนักเขียนนิยาย H. P. Lovecraft ตอนแรกจะขอสิทธิการใช้โลกของ Cthulhu ด้วยแต่ไม่สำเร็จ เลยต้องมาสร้างเรื่องเอง อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ Alone in the Dark เลือกตัวเอกได้ทั้งชายและหญิง ถือเป็นความก้าวหน้าในยุคนั้น (เหตุผลคือมีตัวเอกหญิงเพื่อดึงดูดยอดขายจากผู้เล่นหญิงด้วย)

ระว่างการพัฒนาเกมในช่วงปี 1991 Raynal ดันไปปิ๊งกับกราฟิกดีไซเนอร์ Yaël Barroz จนมีลูกด้วยกัน ลูกคลอดก่อนเกมออกวางขายแป๊บเดียว

ก่อนเกมขาย Raynal ไม่ค่อยพอใจกับคุณภาพของเกมมากนัก (อารมณ์ผู้กำกับเจ้าของเกม กังวลทุกอย่าง) แต่วางขายแล้วก็ประสบความสำเร็จสูงทั้งในแง่เสียงวิจารณ์ รางวัล และยอดขาย ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเกมมันล้ำหน้ายุคสมัย ทั้งในแง่กราฟิกและการเล่าเรื่อง กลายเป็นต้นแบบของเกมสยองขวัญรุ่นหลังๆ อย่าง Resident Evil (1996) และ Silent Hill (1999)

Alone in the Dark ยังมีภาคต่อออกมาอีกจำนวนหนึ่ง ได้แก่ Alone in the Dark 2 (1993), 3 (1994), The New Nightmare (2001), Reboot (2008) แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับภาคแรก และทีมของ Raynal ไม่ได้มีส่วนร่วมแล้ว เพราะ Raynal ลาออกไปตั้งบริษัทเองชื่อ Adeline Software ในปี 1993

หลังจากนั้น Raynal ยังผลิตงานชื่อดังออกมาได้อีกคือ Little Big Adventure (1994) เกมผจญภัยแนวการ์ตูนแฟนตาซี ที่ใช้กราฟิกก้อนกลมๆ แทนโพลีกอนเหลี่ยมๆ เกมประสบความสำเร็จอีกเช่นกันในแง่เสียงวิจารณ์และยอดขาย มีภาค 2 ตามมาในปี 1997 (เกมนี้มีโอกาสได้เล่น แต่ตอนนั้นเล่นไม่ค่อยเป็น)

บริษัท Adeline ถูก Sega ซื้อกิจการในปี 1997 และกลายเป็นสตูดิโอ No Cliche ทำเกมป้อนเครื่อง Dreamcast เช่น เกม Toy Commander, Toy Racer แต่สุดท้ายก็ถูกปิดไปหลัง Sega ไม่ประสบความสำเร็จกับ Dreamcast จนต้องถอนตัวออกจากตลาดคอนโซลไปตลอดกาล

ยุคหลังปี 2000 เป็นต้นมา ผลงานของ Raynal ก็ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก (ประมาณว่าหมดยุครุ่งเรือง ยุคทองแล้ว) เขามีไปทำเกมกับค่ายอื่นๆ บ้าง เช่น Ubisoft ที่เป็นบริษัทฝรั่งเศสด้วยกัน แต่ก็ไม่มีเกมไหนดัง เกมสุดท้ายที่ทำคือ 2Dark เกมผจญภัยแนว Alone in the Dark ออกในปี 2017 (แต่กราฟิกเป็น 2D ตามชื่อเกม) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

(ชีวิตแนวเดียวกับ เกมโปรแกรมเมอร์ดังๆ หลายคนที่ผ่านยุคทองมาแล้ว ยุคสมัยเปลี่ยน ชื่อก็เป็นตำนาน แต่พลังความสร้างสรรค์หมดไปแล้ว น่ากลัวจริง)