ผลงานแอนิเมชันประจำปี 2023 ของ Pixar (เรื่องก่อนหน้านี้คือ Lightyear ที่ไม่ประสบความสำเร็จนัก) เป็นหนังใหม่ที่ไม่ใช่ภาคต่อ กำกับโดย Peter Sohn ผู้กำกับเชื้อสายเกาหลีที่เคยมีผลงาน The Good Dinosaur เมื่อปี 2015 ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
พล็อตของ Elemental เป็นโลกสมมติที่มี “ธาตุ” ต่างๆ จำนวน 4 ธาตุคือ น้ำ ดิน/ไม้ ลม/เมฆ และไฟ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันชื่อ Element City แต่ก็ไม่ใช่เมืองที่เท่าเทียมกันนัก เพราะไฟเป็นธาตุที่ย้ายมาอยู่ทีหลังสุด บวกกับสถานะที่เข้ากับธาตุอื่นไม่ได้เลย ทำให้ชาวเผ่าไฟกลายเป็นชนกลุ่มน้อย อาศัยอยู่ในย่านสลัมที่มีแต่ชาวไฟด้วยกัน คนละฝั่งแม่น้ำกับชาวเผ่าอื่นที่อยู่ในเมืองใหญ่ไฮโซ
นางเอกของเรื่องชื่อ Ember Lumen เกิดจากพ่อและแม่ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากดินแดนแห่งไฟ มาเปิดร้านขายของชำชื่อว่า Fireplace และรอให้ลูกโตเพื่อรับช่วงต่อ ซึ่ง Ember ก็เติบโตขึ้นมาเพื่อรอคอยวันที่เธอจะได้ดูแลร้านแทนพ่อ แต่เธอก็ทำได้ไม่ดีนัก เพราะเมื่อเจอลูกค้าเข้ามาป่วน เธอจะคุมอารมณ์ไม่ได้ กลายร่างเป็นไฟสีม่วงและระเบิดพลังออกมาจนข้าวของพังพินาศทุกครั้งไป
Ember ได้มาเจอกับ Wade หนุ่มน้ำอารมณ์ดีโดยบังเอิญ เพราะ Wade ทำงานเป็นข้าราชการของเมือง มาสำรวจท่อน้ำรั่วแล้วโดนดูดเข้ามายังท่อในบ้านของ Ember ซึ่งเป็นผลทำให้ร้านของ Ember อาจถูกเมืองสั่งปิดกิจการเพราะมองว่าไม่ปลอดภัย ทั้งสองคนช่วยกันแก้ปัญหาน้ำรั่วจนทำให้ Gale เจ้านายเมฆของ Wade พอใจ
ความร่วมแรงร่วมใจทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกัน แต่อุปสรรคเรื่องความต่างระหว่างธาตุยังขวางกั้นอยู่ อีกปมที่แทรกเข้ามาคือตัว Ember เองก็เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้อยากรับช่วงร้านต่อ นั่นคือความฝันของพ่อ ไม่ใช่ความฝันของเธอเอง แถมเธอยังค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์เรื่องการละลายทรายเป็นแก้วเพื่อดัดแปลงเป็นรูปทรงต่างๆ และได้รับข้อเสนอจากแม่ของ Wade ที่มีเพื่อนเป็นเจ้าของโรงงานแก้วในเมืองอื่นที่ไกลออกไป ว่าสนใจอยากไปฝึกงานไหม
เรื่องที่เหลือเป็นการพิสูจน์ตัวเองของ Wade และการค้นหาตัวเองของ Ember ว่าตกลงแล้วเธอต้องการอะไรกันแน่ รู้ใจตัวเองแน่แล้วหรือยัง โดยมีอุปสรรคเข้าแทรกเป็นน้ำรั่วรอบใหม่ (หนัง Disney/Pixar ยุคนี้ไม่มีผู้ร้ายแล้ว) ผ่านการลุ้นอีกนิดหน่อย สุดท้ายเรื่องก็จบแบบ happy ending
พล็อตเรื่องของ Elemental อาจดูธรรมดาไปหน่อย เป็นหนังความรักต่างชนชั้น/เชื้อชาติทั่วไป ที่ต้องมีอุปสรรคถูกพ่อแม่และคนรอบข้างกีดกัน จุดเด่นคือถูกบิดมุมมานำเสนอในภาพความต่างระหว่างธาตุแทน (พวกแกไม่เคยรู้จัก Freizard ใน Dragon Quest สินะ) ถึงแม้ภาพออกมาเป็นการ์ตูนใสๆ แต่ตัว message ที่ต้องการสื่อก็ชัดเจนว่าต้องการพูดเรื่องความเข้ากันได้ระหว่างผู้อพยพมาใหม่ กับสังคมเดิม
ตัวของผู้กำกับ Peter Sohn ก็ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่าเรื่องมาจากชีวิตครอบครัวของเขาเอง ที่เป็นผู้อพยพจากเกาหลีมาเปิดร้านขายของชำในนิวยอร์ค และต้องปรับตัวกับสังคมใหม่ที่วัฒนธรรมแตกต่างอย่างสุดขั้ว หนังยังพูดถึงการอุทิศตัว เสียสละของพ่อแม่ ซึ่งเขาก็ขึ้นภาพพ่อแม่ของเขาในช่วงท้ายเครดิตจบด้วย
เนื่องจากมาดู Elemental แบบไม่ได้คาดหวังอะไรนัก (เพราะหนังของ Pixar ช่วงหลังก็ค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน ) พอมาเจอกับ Elemental ที่เป็นรักโรแมนติกทั่วไป หนังค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่ได้ต้องตีความอะไรมากมาย ถึงแม้เรื่องไม่ได้ลึกซึ้งมาก แต่ก็ชอบมากกว่าหนัง Pixar ที่ผมไม่ค่อยชอบนักคือ Soul ที่ปริศนาธรรมหนักเกินไป และ Onward ที่พยายามโชว์เหนือให้ผู้ชมตีความกันเอง
เรื่องของกราฟิกต้องบอกว่ายังรักษามาตรฐานของ Pixar เต็มรูปแบบ ตัวเมือง Element City มีรายละเอียดเยอะมากชนิดว่าดูรอบเดียวไม่มีทางเห็นหมด มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ซ่อนอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะพวกป้ายต่างๆ ตรงนี้คิดว่ายังสามารถจินตนาการต่อไปได้อีกมาก และคล้ายกับเรื่อง Zootopia ของฝั่ง Disney ที่ภายหลังก็ยังสร้างเรื่องในจักรวาลเดียวกันออกมาเพิ่มได้
ส่วนเอฟเฟคต์เกี่ยวกับธาตุทั้งน้ำ ไฟ ลม ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เพลงประกอบ Steal the Show ก็เพราะดี ฟังสบายๆ
หนังทำรายได้รวม 492.3 ล้านดอลลาร์ ถือว่ากลางๆ คือไม่ได้เยอะขนาด billion ในยุคทอง ส่วนรีวิวได้คะแนนเฉลี่ย 74% (Rotten Tomatoes) ก็ค่อนข้างตรงกับที่ตัวเองให้คะแนนประมาณ 7/10 ในขณะที่คะแนน 58% ของ Metacritic คิดว่าต่ำไปนิดนึง
คิดว่า Pixar ช่วงหลังก็เจอ identity crisis เหมือนกันว่าพอสิ้นสุดยุคทองแล้ว ที่ทางใหม่ของตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อ และคงต้องใช้เวลาค้นหาตัวเองกันอีกนาน