in Technology, Thoughts

Being Mark Zuckerberg

ว่าจะเขียนเรื่องนี้มาหลายที มีกรณีของ Arron Sorkin ออกมาพอดี เลยเป็นโอกาสอันดี

กระแสการถล่ม Facebook ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีน้อยลง มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประเด็นก็มีหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องการเมืองสหรัฐ, การเมืองในประเทศอื่น, ปัญหา privacy, ปัญหาเรื่องติดโซเชียลแล้วเกิด depression, ปัญหา content moderation

เท่านั้นยังไม่พอ Facebook ยัง “เรียกตีน” จากโครงการ Libra อีกต่างหาก (อยู่ดีไม่ว่าดี) เลยยิ่งทำให้โดนรุมถล่มจากบรรดา regulator สายการเงินทั่วโลกอีกทาง (นอกจากสายการเมืองที่โดนอยู่แล้ว)

ความนิยมในตัว Mark Zuckerberg ยิ่งดิ่งวูบ และไม่น่าจะพลิกฟื้นกลับมาได้ในเร็ววัน

เหตุการณ์เหล่านี้เลยทำให้นึกถึงตอนจบของหนัง The Social Network ที่เขาไม่เหลือใครเลย และต้องนั่งเฝ้าดูจอ Facebook ไปเรื่อยๆ ว่าจะเห็นความเคลื่อนไหวของคนรักเก่าเมื่อไร

ถึงแม้ซีนนี้ออกแบบให้ดู dramatic ตามประสาหนัง และในชีวิตจริง Mark ก็มีคนใกล้ตัวที่รักเขามากมายเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ชวนให้ตั้งคำถามว่า Mark ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือที่จะต้องถูกโจมตี หรือถูกเกลียดชังจากคนหมู่มากเยอะขนาดนี้

ถ้าดูจากอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกของ Forbes (เปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ แต่ดูข้อมูล ณ วันที่ 2 พ.ย. 2019 ตามภาพข้างล่าง) Mark รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก มีทรัพย์สิน 72 พันล้านดอลลาร์

ถ้าดูอายุของมหาเศรษฐีกลุ่มระดับ Top 10 จะเห็นว่า Mark หนุ่มที่สุดแล้ว (35 ขวบ) คนอื่นมีแต่แก่ๆ จะมีใกล้เคียงสุดคือ Larry Page ที่อายุ 46 ปีแล้ว

แถมถ้าดูอันดับที่ต่ำกว่านั้น เศรษฐีที่อายุเลข 3 คนถัดไปอยู่อันดับ 37 คือ Yang Huiyan สาวจีนวัย 38 ที่เป็นทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Country Garden ซึ่งก็ไม่ใช่ self-made billionaire

หรือถ้าเอาเฉพาะคนที่เป็น self-made จริงๆ คืออันดับ 49 Colin Zheng Huang ผู้ก่อตั้งเว็บ Pinduoduo ของจีน (อายุ 39) หรืออันดับ 81 Zhang Yiming ผู้ถือหุ้น ByteDance (อายุ 35) ซึ่งชื่อชั้นก็ยังห่างไกลกับ Mark ในเวทีโลก

เรียกได้ว่าในบรรดาคนอายุต่ำกว่าสี่สิบ Mark ยืนหนึ่งมาแบบไร้ข้อกังขา และทิ้งห่างอันดับสองแบบห่างไกลมาก

ในแง่ธุรกิจ Facebook ก็ยังแข็งแกร่ง และไม่มีทีท่าว่าจะถูกโค่นล้มในเร็ววัน แม้จะถูกถล่มเยอะแค่ไหน แต่ตัวโมเดลธุรกิจยังมั่นคง

ผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่า คนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจขนาดนี้ เขาไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือที่ต้องโดนถล่มและสร้างภาพ “ความชั่วร้าย” ให้กับตัวเอง ซึ่งถ้าให้ประเมินเป็นการส่วนตัว ก็ต้องยอมรับว่า Facebook นั้น “สอบตก” จริงๆ ในแง่การรับมือหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในรอบ 3-4 ปีให้หลัง

มาถึงขั้นนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีของ Facebook ต่อปัญหาความขัดแย้ง สะท้อนมาจากมุมมองหรือวิธีคิดของตัว CEO อย่าง Mark นั่นเอง แสดงว่าเขาต้องมีวิธีคิดหรือวิธีการมองโลกบางอย่างที่มันผิดเพี้ยนหรือบิดเบี้ยวไปจากที่สังคมคาดหวังจะให้เป็น

คำถามคือมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงเวลาหรือยังที่ Mark ควรลงจากตำแหน่งซีอีโอ (อย่างที่มีคนเรียกร้องกันมานาน) เพราะอยู่ต่อไปก็คงไม่ประสบความสำเร็จมากกว่านี้อีกแล้ว สู้การยอมปล่อยอำนาจ เปิดทางให้คนหน้าใหม่ๆ เข้ามาแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆ จะดีกว่า

ส่วน Mark เองจะยังนั่งเป็นประธานบอร์ดต่อไป หรือจะหันไปทำงานการกุศลแบบ Bill Gates อะไรก็ว่าไป (เขามี Chan Zuckerberg Initiative ที่ทำร่วมกับภรรยาอยู่แล้วด้วย ไม่ต้องเริ่มใหม่ ทำต่อได้เลย แค่จริงจังมากขึ้น) ไปหาอะไรที่ท้าทายกว่าทำไม่ดีกว่างั้นหรือ

อันนี้ก็ได้แต่ตั้งคำถามในฐานะคนนอกมองเข้าไป ซึ่งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไร หรือยังอยาก “เอาชนะ” อะไรบางอย่างในฐานะ CEO อยู่หรือเปล่า