in Politics

AI, Geopolitics and Regulations

สัปดาห์นี้มีงาน AI Action Summit ที่ปารีส โดยประธานาธิบดี Macron ของฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดงาน เชิญผู้นำทั้งภาครัฐ-เอกชนทั่วโลกไปเข้าประชุมเรื่อง AI กันในพระราชวัง Grand Palais อันหรูหรา ดูแล้วขัดกันดีที่เราไปคุยเรื่องล้ำๆ อย่าง AI ในพระราชวังโบราณ 555

ตอนแรกผมไม่ได้สนใจงานนี้มากนัก เพราะงาน AI Action Summit จัดมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว (ปีแล้ว 2024 จัดสองครั้งที่อังกฤษและเกาหลีใต้) หัวข้อส่วนใหญ่มักพูดเรื่องน่าเบื่อๆ อย่าง “เราต้อง regulate AI เพื่อไม่ให้กระทบ xyz” ที่พูดไปก็ไม่มีผลอะไรนักในทางปฏิบัติ

แต่งานที่ปารีสรอบนี้กลับผิดคาด เพราะมันกลายเป็นสมรภูมิที่ชาติต่างๆ มาเกทับกันเรื่องการลงทุน AI แถมยังกลายเป็นสนามรบย่อมๆ ของสหรัฐอเมริกาและยุโรป พระราชวัง Grand Palais กลายเป็นจุดศูนย์กลางของทั้งเรื่องนโยบาย geopolitics และ AI ที่ซ้อนทับกันอย่างเต็มที่

เล่าก่อนว่างานครั้งนี้ Macron เป็นเจ้าภาพ จึงเชิญผู้นำโลกคนอื่นๆ จากภูมิภาคอื่นมาด้วย ที่เด่นๆ เห็นหน้าชัดๆ คือ นายก Modi ของอินเดีย (ตัวแทน Global South), Justin Trudeau จากแคนาดา, Olaf Scholz แห่งเยอรมนี นอกจากนี้ยังมีผู้นำภาคเอกชนคนอื่นๆ เช่น Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิล, Sam Altman แห่ง OpenAI มาด้วย

ตัวละครสำคัญของงานนี้คือ JD Vance รองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ได้กล่าวสปีชในงาน ซึ่งเป็นสปีชที่ซัดยุโรปตรงๆ คาบ้านเขาเลย (เหมือน Real Madrid บุกมาโค่น Man City ถึงบ้านเมื่อวาน) แต่ถือเป็นสปีชที่ดีมากอันหนึ่งของ JD Vance เท่าที่ผมเคยฟังมา

สาระของ Vance พูดอยู่ 3 เรื่องหลักๆ

1. มอง AI ในเชิงบวกว่าไม่ได้มาแย่งงาน การมี AI เป็นการเพิ่ม productivity และจะสร้างงานใหม่ๆ ให้มนุษย์ เขายกพลังของ AI เทียบกับเครื่องจักรไอน้ำหรือกระบวนการผลิตเหล็กกล้า (Bessemer steel) ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

2. รัฐบาลสหรัฐชุดนี้จะเดินหน้าสานต่อ “ความเป็นผู้นำ” ของสหรัฐอเมริกาในเรื่อง AI โดยอเมริกามีทุกชิ้นส่วนใน AI Stack แล้ว ทั้งชิป โมเดล และแอพพลิเคชัน คอมพิวเตอร์ที่สมรรถนะสูงสุด จะต้องถูกสร้างและผลิตในอเมริกา (หมายเหตุ: จิ๊กซอสุดท้ายของสมการนี้คือโรงงาน TSMC ที่แอริโซนา ซึ่งใกล้ความจริงแล้ว แต่จริงๆ มันเป็นผลงาน Biden นะ 555)

Vance ยังโจมตีจีน (แบบไม่เอ่ยชื่อ) ว่าอเมริกาจะไม่ยอมให้ประเทศที่มีอุตสาหกรรมที่ถูก subsidized จนราคาถูกแล้วเข้ามาทำลายตลาด เช่น CCTV หรือ 5G เข้ามาบุกตลาด และจะปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยี AI ของอเมริกา

3. ซัด EU ตรงๆ ว่าการมีกฎควบคุม AI มากเกินไปจะปิดกั้นนวัตกรรม

Vance บอกว่าถึงแม้อเมริกาเป็นผู้นำ AI แต่ก็อยากเชิญเพื่อนชาวยุโรปเข้าร่วมด้วย มองอนาคตของ AI ทางบวกไปด้วยกัน ไม่ใช่ปิดกั้น เพราะมีบริษัทอเมริกันหลายราย รายงานปัญหาว่าเจอกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ของ EU พยายามเข้ามาควบคุมจนทำธุรกิจไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็น GDPR, Digital Service Act, Digital Market Act (DSA/DMA)

วิธีการพูดจบของ Vance เท่มาก เขาบอกว่ามาฝรั่งเศสรอบนี้ได้ไปดู “ดาบ” ของ Marquee de Lafayette บุคคลสำคัญของฝรั่งเศสที่ไปช่วยปลดแอกอเมริกา เขาบอกว่าดาบเป็นอาวุธ ถ้าตกอยู่ในมือคนไม่ดีก็เป็นอันตราย แต่ถ้าใช้งานดีๆ มันเป็นเครื่องมือช่วยประกาศอิสรภาพให้ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาในเวลาไล่เลี่ยกัน ดังนั้นเขามองว่าเราควรพิจารณาให้ดีว่าควรปฏิบัติกับ AI เช่นไร

หลังจากฟังสปีชของ Vance แล้ว ผมเลยต้องไปหาสปีชของ Ursula von der Leyen ประธานของ European Commission ผู้นำสูงสุดของยุโรป และ “เสด็จแม่แห่ง regulation” มาดูว่าเธอพูดอย่างไรบ้าง (transcript)

ช่วงหลังยุโรปโดนโจมตีหนักเรื่องการมีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบมากเกินไป จนแข่งขันกับอเมริกาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ถูกทิ้งไปไกลมาก (ขนาด GDP ของอเมริกาใหญ่เกือบเป็น 2 เท่าของยุโรปแล้ว ทั้งที่ประมาณ 15 ปีที่แล้วขนาดพอๆ กัน) รายละเอียดเรื่องนี้อยู่ใน รายงานศึกษาของ Mario Draghi อดีตนายกอิตาลี ที่ทำให้ EU เมื่อปีที่แล้ว (Draghi Report) ใครสนใจไปตามอ่านได้

สปีชของ Ursula ค่อนข้างน่าผิดหวัง เธอปฏิเสธว่ายุโรปไม่ได้ตามหลังอเมริกาในเรื่อง AI ด้วยเหตุผล (ข้างๆ คูๆ นิดนึง) ว่าอุตสาหกรรม AI เพิ่งเริ่มต้น สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับว่าแพ้
เธอบอกว่ายุโรปจะหาเส้นทางพัฒนา AI ของตัวเองที่ไม่ใช่แบบทั้งสหรัฐและจีน โดยชูจุดเด่นเรื่องการวิจัย-วิทยาศาสตร์ (เช่น CERN) และการนำ AI เข้ามาใช้กับภาคอุตสาหกรรม ทำโรงงานอัจฉริยะ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมตายไปหมดแล้วรึยังตอนนั้น)

Ursula ยอมรับ (นิดนึง) ว่า กฎระเบียบของยุโรปมีปัญหา ต้องทำให้ง่ายขึ้น (I know, we have to make it easier) แต่ก็ยืนยันว่าจะออก AI Act เพื่อเป็นกฎหมายด้านความปลอดภัย AI ฉบับใหญ่ครอบคลุมทั้งยุโรปเพื่อให้ง่าย ไม่ต้องไปแบ่งย่อยเป็นรายประเทศ

คนอื่นมอง Ursula ยังไงไม่ทราบแต่ในไลฟ์ที่ผมนั่งดูนั้น มีตัดไปยังประธานาธิบดี Macron ที่พยายามผลักดันการลงทุนเรื่อง AI ในฝรั่งเศส นั่งกรอกตามองบน (มันมีซีนนี้จริงๆ นะ กล้องก็ช่างถ่ายได้พอดี) น่าจะสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของแกเป็นอย่างดี

สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากนั้น Vance กับ Ursula นัดคุยกันเองต่อในฐานะผู้นำชาติมหาอำนาจ มีการคุยกันหลายอย่างทั้งเรื่องยูเครน นโยบายภาษีของรัฐบาล Trump แต่ที่เซอร์ไพร์สคือ หลังจากสองผู้นำพบกัน คือ EU ถอนร่างกฎหมายย่อย AI Liability Directive ที่กำหนดความรับผิดชอบให้บริษัทเอกชน ออกจากการพิจารณาไปก่อน

Kevin Roose นักข่าวของ NYtimes ที่ไปนั่งฟังในงานด้วย ตั้งข้อสังเกตของความเคลื่อนไหวในงานสัมมนาครั้งนี้เอาไว้ได้ดี คือ

  • Europe is having regulation regrets.
  • A.I. doomsayers are losing ground.
  • DeepSeek has energized the also-rans.

ผมคิดว่าด้วยปัจจัย 3 ข้อนี้ สงครามเกทับกันรอบแรกนี้ Vance จึงเป็นฝ่ายชนะ เพราะยุโรปก็กลัวจีน กลัว DeepSeek แต่ความสามารถตัวเองไม่พอ ต้องเลิกกฎระเบียบวุ่นวาย แล้วยอมเข้าพวกกับอเมริกา

เกร็ดเล็กน้อยเรื่องตัวเลขที่เขาบลัฟกันพอสนุกๆ (อย่าเชื่อตัวเลขอะไรมากเพราะมันเป็นแค่ promise)

  • Macron เปิดก่อนว่า ฝรั่งเศสได้เงินลงทุน AI จากภาครัฐ-เอกชนทั่วโลก รวม 1 แสนล้านยูโร
  • Ursula ให้ตัวเลขว่าเงินลงทุนด้าน AI ของทั้ง EU รวม 2 แสนล้านยูโร
  • Vance เกทับคนสุดท้ายด้วยบอกว่าเงินลงทุน AI ของอเมริกา 7 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2028