in Thoughts

2020 ปีฝีแตก

ภาพประกอบจาก USGS

ในฐานะที่เป็นโพสต์เขียนในวันสิ้นปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่พิเศษมากๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติระยะใกล้ ผมก็พยายามหานิยามของปี 2020 ที่กระชับ รวบรัด ได้ใจความที่สุด

สุดท้ายก็มาได้คำว่า “ปีฝีแตก”

เหตุผลก็เพราะ เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เราประสบพบเจอในปี 2020 ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง แต่เป็นผลจากการสั่งสมปัญหาเรื้อรังมายาวนานในหลายๆ เรื่อง และดันมา “แตกโพละ” พร้อมกันในปี 2020 ต่างหาก

COVID มีสถานะเป็นตัวเร่งให้ทุกอย่างเกิดเร็วขึ้น (ทั้งเรื่องดีและร้าย ดังที่เขียนไว้ใน Acceleration) ส่วน COVID ในตัวมันเองจะเกิดขึ้นจากการสั่งสมปัญหาอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ตอนนี้คงยังเร็วไปที่จะตอบ เพราะสาเหตุก็ยังไม่ชัดว่าเกิดจากอะไร

ถ้าลองจับปัญหามาเรียงๆ กัน เราจะเห็นว่าปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

  • ข้อจำกัดของทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำ การผูกขาด ประเด็นเรื่อง The End of Capitalism เป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้ว แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกจากสถานการณ์ COVID ทำให้มันเป็นที่กระจ่างชัดขึ้นมาก
  • ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน ก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ความพยายามของรัฐบาล Trump ก็ดำเนินมาได้สักระยะแล้ว แต่ถูกใช้งานจริงจังมากในปีที่มีการเลือกตั้ง
  • ปัญหาการเมืองสหรัฐ ทั้งเรื่องการเหยียดสีผิว หรือ partisan politics ก็เกิดขึ้นมายาวนานแล้วเช่นกัน เพิ่งมาระเบิดตอน George Floyd
  • ปัญหาการเมืองไทย ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 49 หรือ 57 (แล้วแต่คนจะมอง) การประท้วงของม็อบคนรุ่นใหม่ ราษฎร 63 ที่ปะทุขึ้นก็ไม่ได้จู่ๆ โผล่ขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมมานานแล้วเพิ่งระเบิดออกมาเช่นกัน

คุณแชมป์ ทีปกร มิตรสหายท่านหนึ่งตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า ปี 2020 เป็นปีที่เลวร้าย แต่มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษที่เลวร้ายยิ่งกว่า

https://twitter.com/tpagon/status/1344312571776516096

ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อย่างมาก หากเราใช้กรอบคิดเรื่องเวลาเป็น continuation คือทุกอย่างมีความต่อเนื่องซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ ปี 2020 ย่อมเป็นจุดปะทุของเหตุการณ์ แต่มันไม่ใช่พลุที่สว่างขึ้นมาวูบเดียวแล้วหายไป มันน่าจะเหมือนภูเขาไฟระเบิด ที่มีผลพวงอื่นๆ ตามมาอีกต่อเนื่องยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นลาวา ฝุ่นควันภูเขาไฟ หรือไปถึงขั้นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก

ปี 2020 เป็นปีที่เปิดฉากทศวรรษอันวุ่นวายสับสน คาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะขนบธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ ถูกทำลายทิ้งไปทั้งหมด (ทั้งโดยไวรัสที่ไม่สนใจใดๆ และสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ที่ไม่สนใจอะไรใดๆ เช่นกัน) ระเบียบโลกใหม่จะค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นจากเหตุการณ์วุ่นวายอันนี้

ออกตัวว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ยุโรปมากนัก แต่คิดว่าเหตุการณ์ที่น่าจะเทียบเคียงกันได้คือ โลกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศในยุโรปเองก็กำลังวุ่นวายสับสน ระเบียบโลกใหม่กำลังก่อตั้ง ภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่เริ่มปรากฏแต่ยังไม่ชัดเจนนัก

การลอบสังหารอาร์คดยุค Franz Ferdinand ที่เป็นเพียงแค่ความขัดแย้งเฉพาะพื้นที่ (บอลข่าน vs ออสเตรีย-ฮังการี) เป็นจุดเริ่มต้น (trigger point) เปิดฉากให้ความขัดแย้งที่ก่อตัวมาก่อนนานแล้วปะทุขึ้น แต่การลุกลามบานปลายใหญ่โต จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้นั้น ก็สุดที่ใครในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นจะสามารถจินตนาการได้

กลับมาที่ปี 2020 หากเราข้ามเวลาไปอีกสัก 10-20 ปีข้างหน้าแล้วมองกลับมา คงเป็นปีที่เปิดฉากทศวรรษใหม่ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง

ทศวรรษ 2020s คงไม่ได้มีสงครามใหญ่เหมือนทศวรรษ 1910s เพราะบริบทแตกต่างกันมาก แต่การทำลายล้างของไวรัส ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ย่อมสร้างผลสะท้านสะเทือนในระยะยาวอย่างใหญ่หลวง

เมื่อยืนมองที่ปลายทางของปี 2020 ก่อนเริ่มต้นทศวรรษใหม่อันยาวนาน เราคงพยากรณ์อะไรไม่ได้มากนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอีก 10 ปีถัดจากนี้

ตอนนี้ฝีแตกไปแล้ว ในระยะถัดไป แผลจะหายหรือไม่ จะติดเชื้อเพิ่มหรือเปล่า แผลเป็นจะใหญ่เห็นชัดหรือไม่ หรือว่าจริงๆ แล้วฝีแตกแต่ก็ยังมีหนองซ่อนอยู่ มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ

สิ่งเดียวที่เรารู้แน่ชัดคงมีเพียงว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้ารอดแล้วก็เผื่อแผ่ไปยังคนใกล้ชิดรอบข้าง และรัศมีที่ไกลขึ้นกว่านั้นถ้าทำได้

ปี 2020 เป็นปีที่เราเห็นวลีว่า “อย่าหาทำ” ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง อย่าหาเรื่องเข้าตัว น่าจะเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ควรระลึกไว้ตลอดปี 2021 นั่นเอง

ก็อดสปีด บุญรักษา