ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา สถานการณ์สงครามระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล เข้มขึ้นอย่างน่าตกใจ เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมวงด้วย โดยส่งเครื่องบิน B-2 บินข้ามครึ่งโลกแบบไม่แวะพัก เติมน้ำมันกลางอากาศ เพื่อทิ้งระเบิดหนัก Bunker Buster ลงไปเจาะฐานพัฒนานิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่าน 3 แห่ง
ปฏิบัติการนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ระเบิด GBU-57 MOP (Massive Ordnance Penetrator) ถูกนำมาใช้ในการรบจริง และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเปิดฉากโจมตีอิหร่านด้วย (หลังจากฮึ่มๆ หรือสู้กันในสงครามตัวแทนมาหลายสิบปี)
ในแง่ความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ จึงมีอะไรให้น่าขบคิดวิเคราะห์อย่างมาก
ออกตัวก่อนว่า
- โพสต์นี้เขียนขึ้นด้วยความสนใจส่วนตัวล้วนๆ ผมไม่ใช่นักภูมิรัฐศาสตร์ การทหาร การต่างประเทศแต่อย่างใด ถือว่าคันเป็นการส่วนตัว เขียนเพื่อสรุปความคิดตัวเอง แล้วมาแชร์ให้คนอื่นที่อาจสนใจหัวข้อเดียวกัน
- วางเรื่องใครถูกใครผิด พระเอกผู้ร้าย ชอบ-เกลียดอเมริกา ยิว มุสลิม ลงไปก่อน อันนี้มองด้วยกรอบ realpolitik ล้วนๆ และวางเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศลงด้วยเพราะมันไม่มีผลแล้ว โลกเราอยู่ในยุค jungle ใช้กฎแห่งป่า
- ข้อมูลส่วนใหญ่อ้างอิงจากสื่อตะวันตก เพราะอ่านออกแค่นี้ แต่ก็พยายามบาลานซ์ตัวเองด้วยสื่อสัญชาติอื่น เช่น Al Jazeera ด้วย
หลังปฏิบัติการของอเมริกาเมื่อช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ตามเวลาบ้านเรา ผมมีโอกาสอ่านบทวิเคราะห์หลายชิ้น แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดคือบทความของ Bloomberg ที่บอกว่า Iran Stands Alone Against Trump and Israel, Stripped of Allies
แปลง่ายๆ คือ ไม่มีใครออกมาช่วยเหลืออิหร่านเลย แม้ถูกอเมริกาขนเครื่องบินไปบอมบ์คาประเทศตัวเอง
รัสเซียเงียบ จีนออกมาวิจารณ์อเมริกานิดหน่อย ฝ่ายเป็นกลางอย่างยุโรปเงียบ ชาติอื่นๆ ในตะวันออกกลางก็เงียบ มันเกิดอะไรขึ้น
คำตอบของเรื่องนี้น่าจะอธิบายสภาพภูมิรัฐศาสตร์โลกในยุคปัจจุบันได้ดีทีเดียว
คำตอบนั้นคือ อเมริกาในยุค Trump โชว์ให้เห็นว่าแสนยานุภาพของตัวเองยังยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ในทางตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามกับอเมริกาต่างอ่อนแอลงถ้วนหน้า
ต้องย้อนความก่อนสักนิดว่า หลังจากกลุ่มฮามาสบุกออกจากฉนวนกาซาในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สังหารพลเรือนอิสราเอลที่ไปงานคอนเสิร์ต จับตัวประกันไปอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งมีคนไทยอยู่ในนั้นด้วย) มันเหมือนเป็นการ “ปลุกปีศาจ” ในตัวอิสราเอลให้ตื่นขึ้นมา
ในช่วงเวลาประมาณเกือบ 2 ปีหลังจากนั้น อิสราเอลทำสงคราม 3 ทิศทาง ทั้งการถล่มฉนวนกาซาที่อยู่ทางใต้ซะราบคาบ, โจมตีกลุ่มเฮสบัลเลาะห์ทางตอนเหนือ (เคสเพจเจอร์ระเบิดอันโด่งดัง) และล่าสุดคือทำสงครามกับอิหร่านที่อยู่ทางตะวันออก (แม้พรมแดนไม่ติดกัน มีดินแดนทะเลทรายของอิรัก ซีเรีย จอร์แดน คั่นกลางไว้) ซึ่งอิสราเอลเป็นต่อทั้ง 3 สมรภูมิ ใช้โอกาสทองในรอบหลายทศวรรษกำจัด “ศัตรู” ได้รอบทิศทาง
สงครามรอบนี้เริ่มต้นตอนที่กลุ่มฮามาสบุกอิสราเอลจากทางใต้ อิหร่านเองก็ร่วมแจมด้วย ตอนนี้อิสราเอลคุมสถานการณ์สงครามประชิดพรมแดนได้แล้ว จึงได้เวลาเอาคืนกับอิหร่านบ้าง โดยเน้นที่การโจมตีระยะไกล มุ่งเป้าไปที่โรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์เป็นสำคัญ และใช้ปฏิบัติการลับของหน่วยข่าวกรอง Mossad สังหารผู้นำทหารระดับสูงของอิหร่านไปเยอะมาก

ที่มา @Telegraph
อิสราเอลถือเป็นตัวเปิดหน้าลุยให้ก่อน ทั้งปฏิบัติการลับในพื้นที่ของสายลับ Mossad และการโจมตีด้วยขีปนาวุธไปที่โรงผลิตอาวุธนิวเคลียร์ (ในแง่ภาพลักษณ์ อิสราเอลไม่มีอะไรจะเสียและไม่แคร์ด้วย เพราะนี่คือโอกาสทองในรอบหลายทศวรรษที่สามารถจู่โจมศัตรูได้) แต่อิสราเอลอย่างเดียวก็ยังพิชิตโรงงานใต้ดินของอิหร่าน ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือการโจมตีแบบนี้ไม่ลง
ตรงนี้อเมริกาเข้ามาเสียบได้อย่างถูกจังหวะมาก เพราะมีแต่อเมริกาชาติเดียวที่มีอาวุธ Bunker Buster สามารถทำลายฐานใต้ดินได้ การส่ง B-2 บินข้ามทวีปมานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยทำมาก่อนตอนสงครามอัฟกานิสถาน เมื่ออิสราเอลเรียกร้อง ก็ขึ้นกับอเมริกาแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ผมคิดว่า Trump ตัดสินใจเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว (ส่วนจะ “ถูกต้อง” หรือไม่ กาลเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์) อเมริกาแทบไม่เสียอะไรเลย ไม่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มเอง ไม่ต้องทำสงครามภาคพื้นหรือ ground war ให้ไปติดหล่มสงครามเหมือนตอนอิรักหรืออัฟกานิสถาน
แต่การเข้าร่วมสงครามของอเมริการอบนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังคู่ขัดแย้งโดยตรง (อิหร่าน) และชาติอื่นๆ ด้วยว่า อเมริกายังยิ่งใหญ่อยู่
ระเบิดของอเมริกาทำลายฐานของอิหร่านได้จริงหรือไม่ คงไม่มีใครทราบเพราะไม่สามารถลงไปดูในพื้นที่จริงได้ (อิหร่านเองปล่อยให้คลุมเครือแบบนี้อาจดีกว่าด้วยซ้ำ) แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้มันไม่สำคัญเท่ากับการที่อเมริกาได้ลงมาร่วมทำสงครามอย่างเต็มตัวแล้ว
https://twitter.com/ianellisjones/status/1936940041193841026
จังหวะการทิ้งระเบิดอิหร่านถือว่าเป๊ะมาก นอกจากมีอิสราเอลเปิดหน้าให้ก่อนแล้ว ยังเป็นช่วงที่ฝ่ายพันธมิตรของอิหร่านอ่อนแอลงมากสุดๆ ในรอบหลายทศวรรษเช่นกัน
รัสเซียไปติดหล่มสงครามยูเครนจนแทบหมดตัว และก่อนหน้านี้ก็ปล่อยให้รัฐบาลอัสสาดของซีเรีย ล่มสลายลงไปแล้ว หลังจากช่วยยันฝ่ายต่อต้านได้อยู่ตั้งหลายปี
จีนมีสงครามการค้ากับอเมริกาค้างอยู่ และไม่ได้มีผลประโยชน์ในอิหร่านมากขนาดนั้น ดังนั้นแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรหากจะไปช่วยอิหร่านเพื่อไปกระตุกหนวดอเมริกาเข้าไปอีก อย่างมากก็แค่ประณามการโจมตี แสดงความเห็นใจอิหร่านเท่านั้น
กลุ่มต่อต้านอย่างฮามาส เฮสบอลเลาะห์ ก็แทบเอาตัวเองไม่รอดจากอิสราเอล, ซีเรีย ฉิบหายไปก่อนหน้าแล้ว, จะมีก็แต่กบฎฮูตีในเยเมน ซึ่งฮูตีเองก็โดนอเมริกาถล่มไปชุดใหญ่แล้วเช่นกัน
ประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ อย่างซาอุดิอาระเบีย หรือ UAE พยายามใช้การทูตเจรจา แต่พอเจอปืนของอิสราเอล กับอเมริกา ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ส่วนรัฐบาลยุโรปก็อ่อนแอลงกว่าเดิมมาก กระแสพลังคัดค้านสงครามเหมือนยุคอิรัก-อัฟกานิสถาน ก็เหือดหายไปหมด สนับสนุนหรือต่อต้านสงครามไปก็ไม่ได้อะไร อยู่เฉยๆ ดีที่สุด
อิหร่านจึงโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวอย่างมาก
นี่คือโอกาสที่ Trump ฉกฉวยได้อย่างดีที่สุด
ถึงแม้ Trump พูดมาตลอดว่า America First เลิกสนับสนุนสงครามภายนอกประเทศ หันมาสนใจปัญหาภายใน แต่เมื่อมีจังหวะทองคำแบบนี้ Trump ก็ไม่พลาด เราอาจไม่ชอบลักษณะนิสัยของ Trump แต่ในเรื่องนี้ต้องยอมเขาจริงๆ
ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า ยอดนักบลัฟระดับโลกอย่าง Trump ได้ไพ่ที่ดีที่สุดในมือ 2 ใบ คือ อำนาจทางเศรษฐกิจ กับ อำนาจทางการทหารของอเมริกา ก่อนหน้านี้จีนและประเทศอื่นๆ กำลังถูกเกทับด้วยไพ่ทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ส่วนกรณีของอิหร่านคือ Trump ทิ้งไพ่การทหารออกมาแล้ว
เป้าหมายของ Trump คืออะไร? เขาบอกว่าหลังจากทิ้งระเบิดแล้ว นี่คือเวลาแห่งสันติภาพ (ตรงไหนฟร้าาา) และขอให้อิหร่านกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา
คำถามต่อมาคือ อิหร่านจะทำอย่างไรต่อ
สภาพของอิหร่านตอนนี้ต้องบอกว่า ยอบแยบเต็มทน เพราะเสียนายพลขุนศึกคนสำคัญไปมาก ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอิหร่านเลย แต่อ่านบทความจาก The Atlantic ที่มีแหล่งข่าวภายในของอิหร่านก็บอกว่าตอนนี้สถานการณ์ภายในก็ไม่ดี มีหลายกลุ่มอำนาจที่ต้องการโค่น (หรืออย่างน้อยก็ยึดเอาอำนาจมา) จากผู้นำสูงสุด Khamenei ที่ตอนนี้อายุ 86 ปีแล้ว
ในโพสต์ล่าสุดของบัญชี Khamenei บน Twitter เมื่อสัก 3 ชั่วโมงก่อน ก็บอกว่าต้องการจะ “ลงโทษ” พวกยิวที่ก่ออาชญากรรมกับเรา แต่ไม่พูดถึงอเมริกาสักคำ (งงมั้ย)
https://twitter.com/Khamenei_fa/status/1936942341513695699
ผมคิดว่าหากรัฐบาล Khamenei ยังอยู่ อิหร่านมี 3 แนวทางตอบโต้ (ที่ทำพร้อมกันได้) คือ
- ทำสงครามขีปนาวุธระยะไกลกับอิสราเอลต่อไป ความเสี่ยงของอิสราเอลคือบ้านพัง ประชาชนล้มตายบ้าง (หาก Iron Dome ป้องกันไม่ได้ ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว) แต่อเมริกาไม่สะเทือนเลย
- เอาคืนอเมริกาแบบ 9/11 แต่ก็ไม่ง่าย และระบบต่อต้านการก่อการร้ายของอเมริกาก็พร้อมกว่าตอนนั้นมาก
- ปิดช่องแคบฮอมุซ ซึ่งจะมีผลต่อการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก แต่ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง (ที่ไม่มีใครเข้าข้างอิหร่านเลย) ย่อมไม่พอใจ
มาตรการทั้งหมดนี้ไม่สามารถส่งผลสะเทือนต่ออเมริกาได้เลย ถ้าผมเป็นอเมริกาคงนั่งรออยู่เฉยๆ ให้อิสราเอลรบไป ที่เหลือก็รออิหร่านตีกันเอง เกิดการล่มสลายจากภายใน และ regime change อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า