โพสต์ครั้งแรกใน Facebook
คนไทยคุ้นเคยกับชื่อฮุนเซนมานาน แต่ก็คุ้นในฐานะผู้นำของ “เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ” อย่างกัมพูชามาโดยตลอด
ถ้าถามคนไทยในยุคก่อนหน้านี้ว่า มีใครชอบฮุนเซนไหม คงไม่มีใครชอบ จากปัญหาเรื่องคาสิโนและแก๊งสแคมเมอร์ แต่ถามว่าจะสนใจอะไรฮุนเซนไหม คนไทยส่วนใหญ่คงมองว่าไม่มีอะไรมาก เพราะกัมพูชาด้อยกว่าไทยทุกอย่างในเชิงเศรษฐกิจและอิทธิพลในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กระสุนนัดแรกทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หน้ามือเป็นหลังมือ
พรมแดนไทยด้านตะวันออกที่ติดกัมพูชายาว 800 กิโลเมตร จากที่สงบสันติมายาวนานหลายทศวรรษ (นับตั้งแต่ปัญหาเขมรสี่ฝ่ายจบลง) กลายมาเป็นจุดอันตรายที่กระสุนระเบิดจะยิงตกลงมาที่ไหนก็ได้
ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และผลกระทบอื่นๆ ส่งผลให้ฮุนเซนกลายเป็น “ปีศาจร้าย” ในใจคนไทยจำนวนมากในทันที
ในแง่ของความโกรธและความเกลียดชัง เราเข้าใจได้ว่าทำไมคนไทยจำนวนมากถึงรู้สึกแบบนี้ เราเห็นการสะท้อนความรู้สึกผ่านตัวหนังสือเขียนไว้ข้างระเบิด เพื่อหวังว่าความรู้สึกเหล่านี้จะถูกส่งตรงไปยังพนมเปญให้จงได้
แต่คำถามที่ใหญ่กว่าคือในระยะยาว เราจะอยู่กับ “ปีศาจ” ตนนี้อย่างไรดี
ต่อให้ฮุนเซนแก่ตายไปเอง (ปีนี้อายุ 72) ตระกูลฮุนที่ปกครองกัมพูชามายาวนานก็จะยังคงอยู่ ในขณะที่เราไม่สามารถปราบปีศาจ โค่นระบอบ (ในที่นี้หมายถึง regime change) ได้เหมือนกับสงครามระหว่างประเทศในจุดอื่นของโลก (เช่น อิสราเอลยึดครองกาซา)
เรารู้ดีว่า ความขัดแย้งทางการทหารที่แนวพรมแดน อีกสักพักก็ต้องสิ้นสุดลง (ผมเขียนโพสต์นี้หลังการเจรจาที่มาเลเซียได้ข้อยุติแล้ว) แต่สายสัมพันธ์ทางการทูต ทางการค้า มันขาดสะบั้นไปแล้ว จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมมันคงไม่ง่ายนัก เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้ว
แต่เส้นพรมแดนตรงนี้จะคงอยู่ตลอดไป เราจะต้องมีเพื่อนข้างบ้านเป็น “ปึศาจ” (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเราเอง) ต่อไป เราจะอยู่กันอย่างไร
ผมคิดว่านโยบายการต่างประเทศของรัฐไทย (ที่ไกลกว่าและกว้างกว่างานของกระทรวงการต่างประเทศ) จะต้องกลับวิธีคิดกับฝั่งกัมพูชาใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นเพื่อนบ้านที่เชื่อถือไม่ได้ไปแล้ว และน่าจะเป็นการกลับวิธีคิดครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปัญหา “โดมิโน่อินโดจีน” ด้วยซ้ำ
คนที่คิดเรื่องนี้ครั้งล่าสุดน่าจะเป็น พล.อ.ชาติชาย ตอนทำนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งใช้งานได้ดีมา 30 กว่าปี แต่มันไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้ว
เราจะค้าขายกับกัมพูชาต่อไปหรือไม่ อย่างไร นโยบายการกำหนดเส้นพรมแดน หลักเขต การวางกำลังทหาร การเปิด-ปิดด่าน นักเรียนกัมพูชายังมาเรียนในไทยได้ไหม ฯลฯ ไปจนถึงคำถามใหญ่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันคือ เราจะทำยังไงกับแรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่อยู่ในไทย และช่วยแบกเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อย
ทุกเรื่องล้วนเป็น big question ที่ต้องขบคิดกันให้มาก เพราะมีผลได้ผลเสีย ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรจะส่งผลกระทบในวงกว้าง
ส่วนตัวแล้วยอมรับว่ายังไม่มีคำตอบใดๆ ต่อคำถามเหล่านี้ เพราะมันมาเร็วเกินไป ฉับพลันเกินไป สังคมไทยเองคงรู้สึกเหมือนกัน และคงต้องใช้เวลาขบคิดและถกเถียงหาข้อยุติกันอีกนาน
แต่ผมเชื่อว่าการตั้งคำถามให้ถูกต้องก่อนเป็นก้าวแรกที่สำคัญ
เราจะอยู่กันยังไงกับเพื่อนบ้านชื่อฮุนเซน ที่กลายเป็นปีศาจร้ายในใจเราไปแล้ว