in Thoughts, Works

ไม่มีใครสนใจความล้มเหลวของเราขนาดนั้น นอกจากตัวเราเอง

“ไม่มีใครสนใจความล้มเหลวของเราขนาดนั้น นอกจากตัวเราเอง”

เป็นประโยคที่ผมพูดบนโต๊ะอาหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กับน้องๆ วิศวะเกษตรที่เข้าร่วมโครงการ KAMP Engineering ซึ่งเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเราตลอดช่วงประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา
คนพูดอย่างเราน่ะพูดไปเรื่อย แต่น้องๆ ดูเหมือนประทับใจกันมาก บางคนนำไปเขียนใน reflection ตอนจบโครงการ และบางคนถึงขั้นเอาไปใส่ในสไลด์ขึ้นเวทีวันปิดงาน Closing Ceremony เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

เบื้องหลังของประโยคนี้ มาจากคำถามของน้องๆ ว่าเรียนจบแล้วควรสมัครงานเลยทันที หรือควรไปฝึกวิชาอยู่บ้าน เรียนคอร์สต่างๆ ให้มั่นใจว่าตัวเองเก่งก่อนค่อยสมัคร เพราะกลัวว่าถ้าเพิ่งเรียนจบใหม่ แล้วยังทำงานไม่เก่งเลย จะล้มเหลวในการสมัครงาน

อีกคำถามคล้ายๆ กันคือ รู้สึกว่าเล่น LinkedIn แล้วนอย เพราะเห็นเพื่อนคนอื่นๆ ปรับสถานะใน LinkedIn เช่น ได้งานแล้ว ประสบความสำเร็จอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วรู้สึกว่าตัวเองก้าวตามเพื่อนไม่ทัน

ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้งไปนิดนึง เพราะในยุคที่ตัวเองเรียนจบมา มันไม่มีทางเลือกอื่นใดเลย นอกจากไปสมัครงานและทำงานหาเลี้ยงตัวเองทันที แม่ไม่เลี้ยงแล้ว

เลยทำให้ระลึกได้ว่าโลกยุคนี้มีทางเลือกหลากหลายมาก กระแสโซเชียลเชี่ยวกราก (ใช้คำว่าไหลบ่าอาจจะตรงกว่า) วัยรุ่น Gen Z ทั่วโลกจึงประสบปัญหานี้กันถ้วนหน้า ว่าเมื่อจะลงมือทำอะไรสักอย่าง มันจะต้องรู้สึกว่าถูกจับตาดู ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

สมัยเรา จักรวาลการแข่งขันมีแค่แข่งกับลูกเพื่อนแม่หรือลูกป้าข้างบ้าน 555 อย่างมากก็แข่งกันเฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น แต่ในยุคสมัยนี้ คิดจะทำอะไรบางอย่าง เรามีคู่เทียบเป็นคนทั้งโลก ยังไงเสียมันก็มีคนเก่งกว่าเราเสมอ แค่เริ่มต้นคิดจะทำอะไร มันมีคนชนะในเกมนั้นไปเยอะแล้ว

จีงไม่น่าแปลกใจอะไรที่น้องๆ จะเจอความกดดันลักษณะนี้กันเป็นปกติ และจากการคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ mentor คนอื่นๆ ก็เจอปัญหาเดียวกัน

คำแนะนำของผมอย่างแรกคือ ให้ปิดทุก notification ของ LinkedIn เพราะมันเยอะ 555 แต่ต่อให้ปิดแล้ว มันก็ต้องฝึกจิตฝึกใจตัวเราเองให้นิ่งอยู่ดี เพราะยังไงเราก็ต้องเห็นความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ ผ่านช่องทางอื่น หนีไม่รอด จึงได้แต่บอกไปว่า คนอื่นเขาไม่ได้สนใจเรามาก อย่างที่เราคิดหรอก

นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเรียนรู้จากน้องๆ ถือเป็น reverse mentoring ที่พี่ๆ ศิษย์เก่าทั้งหลายได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ได้มีแต่เรื่องการถ่ายทอดประสบการณ์จากพี่สู่น้องเพียงฝ่ายเดียว
ตัวผมเองเข้าวงการ mentoring จากการเข้าโครงการ IMET MAX Wisdom for Life and Social Values เมื่อปีที่แล้ว ในฐานะ mentee รุ่นกลางไปรับถ่ายทอดพลังจาก mentor รุ่นใหญ่ระดับท็อปของประเทศไทย ถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า

เมื่อมีโอกาส pay it forward จึงอยากส่งต่อโอกาสไปยังน้องรุ่นถัดไป เปลี่ยนตัวเองจาก mentee มาเป็น mentor บ้าง ซึ่งก็พบว่าได้ประโยชน์มาก

โครงการ mentorship ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น Champ ของจุฬา, TBS-AIM ของธรรมศาสตร์ (ซึ่งมีเพื่อนๆ หลายคนเข้าไปเป็น mentor เช่นกัน) รวมถึงโครงการข้างเคียงในระดับอื่นๆ เช่น IMETMAX X ที่จับกลุ่ม social enterprise ธุรกิจเพื่อสังคม

คำถามแรกที่โดนน้องถามเสมอคือ “พี่มาเป็น mentor แล้วพี่ได้อะไร” เอาเข้าจริงก็เรียกว่าไม่ได้อะไร แถมยังต้องเสียเงินเลี้ยงข้าวน้องอีกด้วย 555 แต่ผมคิดว่า mentor ทุกคนคิดเหมือนกัน ว่ามันคือการ pay it forward ไปยังคนรุ่นต่อไป ส่วนการเรียนรู้ด้านกลับจากน้องๆ ถือเป็นผลพลอยได้ข้างเคียง

ตัวผมเองเรียนจบมาแล้วไม่เคยไปร่วมงานศิษย์เก่าใดๆ เพราะไม่มีกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผูกพัน ได้จดหมายจากสมาคมศิษย์เก่าส่งไปที่บ้าน ก็บอกให้แม่ทิ้งลงถังขยะได้เลยทุกครั้ง แต่พอมาเจอโครงการ mentorship ลักษณะนี้ ที่ทำให้ศิษย์เก่ากลับมายึดโยงกับศิษย์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ก็เปลี่ยนมุมมองของตัวเองต่อเรื่องศิษย์เก่าไปมาก รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำประโยชน์ได้

ต้องขอบคุณโครงการ KAMP ของเกษตรที่มาชวนเข้าร่วม ขอบคุณ Jomzup Sittipittaya ที่ร่วมเป็นบัดดี้กันตลอดโครงการปีนี้ น้องๆ ทั้ง 4 คน แปม เมษา เบอรี่ เจิ้น OC ตะวัน รวมถึงประธานพี่อิ๊ง Karin Blvn ผู้จัดการคนสำคัญ จวง Thanapol Kittidulyakan และเพื่อนๆ พี่ๆ mentor คนอื่นๆ ด้วย

แล้วพบกันใหม่ปีหน้าแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ปิดท้ายด้วยการเล่าว่า จริงๆ แล้วน้องยก quote มาไม่ครบ เพราะผมพูดว่า

“ไม่มีใครสนใจความล้มเหลวของเราขนาดนั้น นอกจากตัวเราเอง
แต่ยกเว้นแฟนใหม่ของแฟนเก่าไว้คนนึง”