in Movies

The Book of Boba Fett

Boba Fett น่าจะเป็นตัวร้ายที่ iconic มากเป็นอันดับสองของ Star Wars คือเป็นรองแค่ Darth Vader เพียงคนเดียว แม้มีเวลาปรากฏตัวบนจอน้อยกว่ากันมาก (แถมโผล่มาทีหลังด้วยคือมาใน Episode V)

ความนิยมของ Boba Fett ดูได้จากปริมาณของเล่นต่างๆ (เอาเข้าจริงของเล่น Fett อาจเยอะกว่า Vader ด้วยซ้ำ) ในไตรภาค prequel ยังต้องเอาใจแฟนๆ ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์นักรบชุดเกราะ Jango Fett แบบเดียวกันขึ้นมาอีก รวมถึงซีรีส์ The Mandalorian ที่เล่าตำนานของนักรบ Mandalore ที่ Boba Fett เป็นผู้จุดประกายขึ้นมาเป็นคนแรก

ถ้าลองมานั่งนึกๆ ดูว่าทำไม Boba Fett ถึงได้รับความนิยมสูงมาก ผมคิดว่ามีจากหลายปัจจัยผสมกัน อย่างแรกที่สุดคือดีไซน์ชุดเกราะที่เท่ไม่เหมือนใครอื่นในเรื่อง, การเป็นมนุษย์หน้ากากที่ไม่เห็นใบหน้า เปิดให้จินตนาการไม่รู้จบ, บทช่วยส่งให้เป็นนักล่าค่าหัวอิสระ ไม่เข้ากับฝ่ายใดเลย แตกต่างจากลิ่วล้อของจักรวรรดิ เป็นต้น

ให้สรุปง่ายๆ กล่าวคือ Boba Fett เป็นตัวร้ายที่ bad ass ที่สุดในภาพยนตร์ไตรภาคต้นฉบับนั่นแหละ (Vader อาจเก่งกว่า น่าเกรงขามกว่าแต่ไม่ bad ass) ถึงได้รับความนิยมสูงขนาดนี้

ข้ามเวลามาหลายทศวรรษ Lucasfilm ยุคใหม่พยายามนำ Boba Fett กลับมาอีกครั้ง เริ่มจากเป็นตัวละครรองในซีรีส์ The Mandalorian ก่อนได้โปรโมทขึ้นมาเป็นตัวละครหลัก มีซีรีส์ของตัวเอง The Book of Boba Fett

แนวคิดของ Lucasfilm ยุคใหม่ (และวงการภาพยนตร์ในภาพรวม) พยายามนำตัวละครยอดฮิตที่แฟนๆ รัก มาเล่าใหม่ให้มีมิติเชิงลึกขึ้นกว่าเดิม มีรายละเอียด มีปม มีจุดอ่อน มีความอ่อนไหว มีความเป็นมนุษย์มากกว่าเดิม อย่างที่เคยทำมาแล้วกับ Solo และจะทำต่อไปกับซีรีส์ของ Obi-wan Kenobi

The Book of Boba Fett พยายามทำแบบเดียวกันกับ Boba Fett นั่นคือขยายความนักล่าค่าหัวอวกาศที่พล็อตแบนๆ โผล่มายิงๆ ไม่ค่อยมีบทพูด ให้เป็นตัวละครยุคใหม่ที่ลึกกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดของ The Book of Boba Fett คือการทำลายความ bad ass ของ Boba Fett ลงอย่างสิ้นเชิง จากนักล่าค่าหัวอวกาศที่ต่อกรกับฝ่ายเจได-จักรวรรดิได้อย่างสูสี กลายเป็นลุงแก่ๆ ที่ไร้พิษสงไปแทน หมดกัน

อันนี้มีสื่อต่างประเทศหลายแห่งที่คิดเหมือนกัน

หลังจากประสบความสำเร็จกับ The Mandalorian ทีมผู้สร้างคือ Jon Favreau และ Dave Filoni ก็มาทำซีรีส์ The Book of Boba Fett กันต่อ (รวมถึงซีรีส์ Ahsoka Tano ด้วยอีกอัน)

The Book of Boba Fett ถือเป็นซีรีส์ spin-off ที่แยกมาจาก The Mandalorian และไม่สามารถดูเข้าใจได้เลยถ้าไม่ได้ดู The Mandalorian มาก่อน

ถ้าให้เล่าเรื่องแบบสั้นๆ ของ Boba Fett ใน The Mandalorian คือ Fett ซึ่งเป็นตัวละครที่เข้าใจว่าตายไปแล้ว (ตกหลุมทราย sarlacc ใน Episode VI) แต่สุดท้ายก็ยังไม่ตาย แถมโคจรมาพบกับนักล่าค่าหัวรุ่นน้อง Din Djarin (พระเอกของ The Mandalorain) และได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันสักหน่อย ก่อนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

The Book of Boba Fett พยายามเล่าเรื่องของ Fett โดยแยกเป็น 2 timeline สลับกันไปมาคือ

  1. ชีวิตของ Fett ว่าเอาตัวรอดจากหลุมทรายมาได้อย่างไร จนกระทั่งมาเจอกับ Din Djarin
  2. ชีวิตของ Fett หลังแยกจาก Din Djarin แล้วในตอนจบ The Mandalorian Season 2 ซึ่งเขาอยากตั้งตัวเป็น “เจ้าพ่อ” crime lord ของดาวทาทูอีนคนใหม่แทน Jabba The Hut ที่ตายไปตอนจบ Episode VI

เรื่องของ Fett ใน timeline แรกถือว่าทำได้น่าสนใจ หลังจาก Fett ผ่านประสบการณ์ “เฉียดตาย” จากหลุมทราย sarlacc มาได้ (ชุดเกราะเทพของชาว Mandalore ช่วยไว้) เขาก็โดนเผ่า Jawa ถอดเกราะเอาไปขาย (ซึ่งไปทวงคืนใน The Mandalorian) หลังจากนั้นเขาไปอยู่กับเผ่าทะเลทราย Tusken (ที่เคยเป็นที่สุดของตัวประกอบใน Star Wars แต่คราวนี้เล่าซะละเอียดยังกับดูสารคดีชาวเผ่าแปลกๆ) ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องมิตรภาพ เรื่องพวกพ้อง ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

ปัญหาของ The Book of Boba Fett คือเรื่องเล่าใน timeline ที่สอง

หลังจาก Fett เอาตัวรอดมาได้ เรียนรู้มิตรภาพชาวเผ่า (จาก timeline แรก) ช่วยเหลือ Fennec Shand และตามทวงชุดเกราะกลับมาได้ (จาก The Mandalorian) ขั้นถัดไปของเขาคือตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อคนใหม่แห่งดาวทาทูอีน

สิ่งที่คนดูแบบผมคาดหวังคือ เราคงได้เห็นการแสดงอิทธิพลที่ผสมการเจรจาแบบมาเฟีย (The Godfather ภาคอวกาศ) และการต่อสู้โชว์ฝีมือ (เหมือนใน Episode V-VI) จนทำให้ Fett ทะยานขึ้นเป็นเจ้าพ่อได้สำเร็จ

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ Fett ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง นั่งบนบัลลังก์ร้างๆ กับเดินถือปืนไปมาในเมืองอยู่สองคนกับ Fennec Shand (แก๊งเจ้าพ่อที่มีแค่ 2 คน!) แล้วหวังว่าทุกคนจะเคารพตัวเองเป็นเจ้าพ่อคนใหม่ แถมเอาเข้าจริง Shand ยังช่วยทำอะไรมากกว่า Fett ซะอีก

คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ อุตส่าห์ปั้น backstory ของ Fett ที่กลับใจมาเรียบร้อย จากนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่ผู้ชมกลับไม่รู้เลยว่า Fett คิดอย่างไร มีเป้าหมายอะไร นอกจากคำพูดแบนๆ ว่า “ฉันคือไดเมียวคนใหม่แห่งทาทูอีน” ที่ก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร มีแนวทางการปกครองอย่างไร ความสัมพันธ์กับชาวเมืองยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

แถม Fett เองก็ไม่ได้โชว์ความเก่งทั้งฝั่งบู๊ (สู้แพ้ประจำ เป็นเจ้าพ่อที่เดินอาดๆ ไปให้ถูกซุ่มโจมตี) และฝั่งบุ๋น (การวางกลยุทธ์ที่ฉลาดเหนือคู่แข่ง)

การรับสมัครพรรคพวกของ Fett ก็มีข้อน่ากังขามากมาย มีชาวต่างดาว 2 ตัวที่ตกทอดมาจากยุค Jabba (ที่ช่วยอะไรแทบไม่ได้), ชิวเบคก้าสีดำหน้าตาดูเหี้ยมๆ (สร้างมาเอาใจแฟน) และแก๊งสก๊อยแห่งดาวทาทูอีน ขับมอเตอร์ไซค์ 4-5 สีเหมือนขบวนการเซนไท แถมพยายามแต่งตัวให้ดูเป็นตัวแทนไซบอร์กจาก Blade Runner

ดูแล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า สรรพกำลังเท่านี้จะปกครองดาวได้อย่างไร ไม่ต้องถึงขั้นไปสู้กับแก๊งอื่นเลย

เมื่อแก่นหลักของการเป็นหัวหน้าแก๊งมันพังแต่แรก ทำให้การสะสมพรรคพวกในขั้นต่อมา ไปจนถึงการทำสงครามระหว่างแก๊งในตอนสุดท้ายของซีรีส์มันดูปลอมไปหมด ไม่มีความสมจริงแม้แต่น้อย (ขอใช้คำว่าเป็นหนัง parody ที่ใช้โปรดักชั่นระดับ AAA)

เท่านั้นยังไม่พอ ผู้สร้างยังแทรก timeline ที่สามเข้ามาด้วย นั่นคือเล่าเรื่อง Din Djarin พระเอกของ The Mandalorian แบบเต็มๆ ในตอนที่ 5-6 ของ The Book of Boba Fett เล่นเอา Boba Fett แทบไม่มีบทในสองตอนนี้เลย (เห็นบางเว็บแซวว่าจริงๆ แล้วมันคือตอนที่ 1-2 ของ The Mandalorian ซีซัน 3 มากกว่าด้วยซ้ำ)

การเล่าเรื่องแบบแปลกๆ บวกกับความไม่สมจริงของพล็อตดังที่กล่าวไป ทำให้ The Book of Boba Fett เป็นซีรีส์ที่แปลกมาก นั่นคือมีส่วนที่ทำได้ดีมาก (timeline แรกของ Fett และช่วงตอน 5-6 ของ Din Djarin) และส่วนที่แย่มาก (timeline ที่สองของ Fett) ผสมกันไป

เพียงแต่ว่าส่วนที่ทำได้แย่มากนั่นน่ะ มันคือพล็อตหลักของซีรีส์นะเฟ้ย

เจอกราฟนี้จาก Wikipedia สรุปคะแนนเรตติ้งของซีรีส์ ตอนที่ 5-6 พุ่งสูงเพราะไม่มี Fett ส่วนตอนที่ 3, 7 เป็น timeline ปัจจุบัน

ตัวละครที่เด่นที่สุดของ The Book of Boba Fett กลับกลายเป็น Fennec Shand มือสังหารหญิงที่เล่นโดย Ming Na-wen และโดดเด่นมาตั้งแต่ตอน The Mandalorian แล้ว พอมาอยู่ใน The Book of Boba Fett ก็ยิ่งเด่นเข้าไปใหญ่ (สวนทางกับ Fett ที่ดับ) ในระดับว่าจริงๆ แล้วเราสามารถเรียกเรื่องนี้เป็น The Book of Fennec Shand ก็ได้ด้วยซ้ำ น่าเสียดายว่าบทของ Shand ในตอนหลังๆ ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำนอกจากคิวบู๊อย่างเดียว

นอกจากพล็อตหลักของเรื่องที่มีปัญหาแล้ว ยังมีประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ เช่น ซีรีส์ไม่ปูพื้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง Fett กับ Cad Bane ที่ออกมาตอนท้ายๆ เลย (มีใน Clone Wars แต่ก็ควรปูพื้นสักหน่อย สุดท้ายเป็นแค่ตัวร้ายที่ดูเก่งดี เท่ดี แต่ไม่มีสตอรี่อะไร) หรือดาบ Dark Saber ที่อุตส่าห์ปูกันมานานว่าตัดได้ทุกอย่างในจักรวาล ก็มาสิ้นท่าเมื่อเจอกับบาเรียของหุ่นยนต์จักรกลธรรมดาๆ จบกัน

หากเรามองว่า The Book of Boba Fett เป็นเหมือนตอนแยกพิเศษเล่าเรื่องของ Boba Fett ก็คงพอได้ แต่นี่ Lucasfilm เล่นเอาเนื้อเรื่องของ The Mandalorian ที่ต่อจากซีซันสอง มาใส่ไว้ในนี้ซะเยอะด้วย (The Mandalorian ซีซัน 2.5) เลยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองซีรีส์มันแปลกมาก แฟน The Mandalorian จะไม่ดูก็ไม่ได้ เพราะจะไม่รู้เรื่องของตัวละครหลักๆ ไปเลย แต่ถ้าดูแล้วก็ต้องมาเจอกับความขัดใจจำนวนมากแบบที่เล่าไปแล้วอีก

โดยรวมก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายในศักยภาพที่ควรไปได้ไกลกว่านี้มาก และน่าผิดหวังที่เป็นผลงานจากทีมผู้สร้างเดียวกับ The Mandalorian ที่ทำไว้ดีมาก