in Games

Journey

Journey เป็นหนึ่งในเกมเด่นของ PS3 ที่ดูจากเทรลเลอร์แล้วตอนนั้นอยากเล่นมาก แต่ติดซะว่าไม่มี PS3 ก็ไม่รู้จะเล่นอย่างไร ถือเป็นความค้างคาใจมานาน

พอตอนนี้มี PS4 แล้ว บวกกับ Journey เองถูกพอร์ตมาลง PS4 ตั้งแต่ปี 2015 จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ที่จะซื้อหามาเล่นกัน

แถมช่วงปีใหม่ปีนี้เป็นช่วงที่ PlayStation Store ลดราคาเกมพอดี เกมเก่าอย่าง Journey ก็ลดหนักมาก พอใช้โค้ดส่วนลดต่างๆ เข้าช่วย (ส่วนลดโปรโมชั่น + ส่วนลดสมาชิก PlayStation Plus + ส่วนลดพิเศษอีก 15% ของ Store) ทำให้ได้เกมนี้มาในราคาแค่ 40 บาทเท่านั้น!!!

Journey เป็นเกมผจญภัยกึ่งพัซเซิล ที่หาคำนิยามได้ลำบากมาก ในแง่หนึ่งมันเป็นเกม แต่ในอีกแง่มันเหมือนเป็นภาพยนตร์ interactive movie ที่เราสามารถควบคุมตัวละครหรือมุมกล้องได้เอง

เกม Journey เน้นการนำเสนอแบบ visual สุดๆ คือทั้งเกมไม่มีตัวอักษรเลย มีฉาก title เปิดมามีคำว่า Journey เป็นชื่อเกม แล้วเห็นข้อความอีกทีก็ตอนเครดิตจบนู่นเลย

ดังนั้นเนื้อเรื่องก็ขึ้นอยู่กับเราตีความกันเอง เพราะเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพและสัญลักษณ์ล้วนๆ โดยเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากคือ ตัวเอกชุดแดงที่เห็นในภาพ ต้องเดินทางไปยังภูเขายอดแหว่งที่มีแสงพุ่งขึ้นมาในภาพ โดยระหว่างทางต้องเดินผ่านซากอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ล่มสลายไปแล้ว

แต่ละด่านที่เคลียร์ได้จะมี flashback ย้อนอดีตของอารยธรรมให้ดูกันเล็กน้อย แต่ก็เป็นภาพแนว pictogram ภาพเขียนฝาผนังให้เราตีความกันเองว่าเกิดอะไรขึ้น

แกนหลักของ Journey คือการเดินทางผ่านทะเลทรายอันรกร้าง ซากอารยธรรมที่กว้างใหญ่แบบสุดๆ แต่เราต้องเดินทางเพียงลำพัง ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง (และแอบหลอนๆ เล็กน้อยในบางฉาก) ซึ่งทีมผู้สร้างเกมก็นำเสนอ visual และ art direction ได้ออกมาระดับเทพมาก สวยมาก อลังการมาก ประทับใจมากจริงๆ มีสภาพแสงทั้งกลางวัน บ่าย เย็น กลางคืน สภาพบรรยากาศหลากหลายแบบ ทะเลทราย หิมะ ดันเจี้ยนใต้ดิน ใต้น้ำ

ฉากนี้คือฉากที่สวยที่สุดในเกม

แต่แค่นั้นไม่พอ

ทีเด็ดอีกประการของ Journey คือระหว่างเล่นเกม เราจะมี “เพื่อน” ชุดแดงแบบเดียวกันโผล่มา อันนี้ไม่ใช่ตัวละคร NPC แต่เป็นผู้เล่นคนอื่นที่ถูกจับคู่ให้เราผ่านออนไลน์ มาร่วมเล่นด้วยกันในฉากนั้นๆ (ตลอดทั้งเกมเราอาจเล่นพร้อมกับผู้เล่นหลายคนได้) โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร (จนกว่าจะจบเครดิต ถึงจะขึ้น ID PSN) และไม่จำเป็นต้องเล่นสองคนถึงจะผ่านฉากนั้นๆ ก็ได้ (คือฉากนั้นเล่นคนเดียวก็จบได้ ไม่มีปริศนาหรือท่าอะไรที่ต้องใช้สองคนเล่น)

เพื่อนคนนี้จึงทำหน้าที่เป็น “เพื่อนเดินทาง” (companion) เท่านั้น ช่วยให้เราไม่เหงาหรืออ้างว้างจนเกินไป ยิ่งเฉพาะในฉากหลังๆ ที่มีอุปสรรคเพิ่มขึ้นมากมาย การเดินทางจึงไม่โดดเดี่ยวเกินไปมากนัก และมีความรู้สึกว่ามีคนร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ตาม

อันนี้ถือว่า brilliant บรรเจิดมาก

Visual ระดับนี้ทั้งเกม แถมไม่ซ้ำกันด้วยในแต่ละฉาก

ไม่น่าแปลกใจนักที่ Journey ได้คะแนนรีวิวสูงลิบลิ่ว (คะแนนเฉลี่ย metacritic 92%) และติดทำเนียบเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลจากหลายสำนัก

ข้อเสียของเกมนี้คือมันสั้นมาก เล่นประมาณ 2 ชั่วโมงก็จบแล้ว และเกมไม่ค่อยมี mechanism ของการแก้ปริศนาและการสำรวจมากนัก โดยเฉพาะครึ่งหลังของเกมที่แทบจะเป็น linear เดินหน้า ไถๆ ลื่นๆ ไปก็ผ่านได้ (อย่างที่บอกไปคือมันเหมือนหนังมากกว่าเกม)

พอเล่นเกมจบก็เลยเข้าใจทันทีว่า เกมดูเหมือนสั้นๆ ไม่มีอะไร แต่มันต้องคิดเยอะมากกว่าจะสร้างผลงานระดับนี้ออกมาได้

เลยไปนั่งอ่านบทสัมภาษณ์ของผู้สร้างเกม Thatgamecompany ซึ่งเป็นสตูดิโออินดี้ ก็เข้าใจเลยว่าลำบากจริงๆ เพราะตอนแรกตั้งใจใช้เวลาพัฒนาเกมเพียงปีเดียว แต่สุดท้ายล่อไปสามปีกว่า ช่วงท้ายๆ ยังเงินหมดจนเกือบต้องล้มละลาย ต้องปลดพนักงานบางส่วนออก กว่าจะเข็นเกมออกมาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ (พอเกมวางขาย ได้รับความนิยม รายได้เริ่มมา ก็กลับมาจ้างพนักงานชุดเดิมใหม่อีก)

คำถามต่อไปคือแล้วบริษัทนี้มันไปทำเกมอะไรต่ออีก คำตอบคือเกมชื่อ Sky เป็นเกมแนวบินบนท้องฟ้าแบบมัลติเพลเยอร์ ที่จะออกบนหลายแพลตฟอร์ม (บน iOS ก่อนเป็น time exclusive) ตอนแรกบอกจะออกปี 2018 แต่ตอนนี้ 2019 แล้วก็ยังเงียบหาย ดูคลิปกันได้ด้านล่าง

Journey จะพอร์ตมาลงพีซีด้วย โดยจะลง Epic Games Store ก่อน แต่เข้าใจว่าน่าจะลงร้านอื่นๆ ด้วย ใครที่ไม่มี PS3/PS4 ก็ยังมีโอกาสได้เล่นกัน และแนะนำอย่างยิ่งว่าไม่ควรพลาด

หมายเหตุ: เกมลดราคาเหลือ 96 บาท (ราคาสมาชิก PS Plus เหลือ 48 บาท ใช้โค้ดลดได้อีกเหลือ 40 บาท) จนถึงวันที่ 8 มกราคมนี้ ถ้าใครมี PS4 และยังไม่ได้เล่นก็รีบกดกันเลย – PS Store Link