ในฐานะผู้สนใจการเมืองสหรัฐ ซีรีส์ House of Cards เป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่ผมตัดสินใจหยุดดูไปนานหลายปี ตั้งแต่ตอนจบ Season 2 เพราะรู้สึกว่ามันไม่สนุกเท่าไร (พล็อตการชิงอำนาจจากประธานาธิบดีมันไม่ค่อย convincing)
เวลาผ่านมาอีกหลายปี เมื่อความรู้สึกตกตะกอนมามากพอ เลยกลับมาดู Season 3 อีกครั้ง (ออกฉายปี 2015 มาดูปี 2022 เลย) พอดูจบครบ 13 ตอนแล้วก็ควรมาบันทึกความคิดเอาไว้
The House of Cards Season 2 จบลงตอนที่พระเอก Frank Underwood ที่เดิมเป็นรองประธานาธิบดี สามารถบีบประธานาธิบดี Walker คนก่อนลาออก ทำให้เขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และเดินเข้าห้องทำงานรูปไข่ (oval office) ไป
พอขึ้น Season 3 ประธานาธิบดีที่เข้ามากลางเทอมอย่าง Frank ก็ต้องเผชิญเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่อง
- โปรเจคการจ้างงานครั้งใหญ่ American Works หรือ AmWorks ที่ต้องการแก้ปัญหาคนว่างงานเป็นจำนวนมาก (บริบทในตอนนั้นคือรัฐบาลโอบามา หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008) แต่แผนการนี้กลับโดนขัดขวางโดยรัฐสภาสหรัฐ ทั้งจากเดโมแครตและรีพับลิกัน (เป็นการบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีไม่ได้มีอำนาจเรื่องในประเทศมากนัก) ทำให้ Frank พยายามเลี่ยงบาลีโดยนำเอาเงินงบประมาณฉุกเฉินของ FEMA (หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยของสหรัฐ) มาใช้แทน ซึ่งก็สร้างความขัดแย้งเข้าไปอีก
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ Jordan Valley ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่ทำให้ Frank และสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญหน้ากับรัสเซียที่นำโดยประธานาธิบดี Petrov (ซึ่งนำคาแรกเตอร์ของ Putin มาแทบทั้งหมด)
ในขณะเดียวกัน ภรรยา Claire Underwood ที่ร่วมวางแผนชิงอำนาจมาด้วยกัน กลับเจอปัญหาว่าหลังส่ง Frank ขึ้นเก้าอี้ประธานาธิบดีได้แล้ว สถานะ First Lady ของเธอเป็นเพียงแค่ไม้ประดับ ยืนสวยๆ อยู่เบื้องหลังสามีในโอกาสต่างๆ (วัฒนธรรมการเมืองอเมริกันให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก) แค่เพียงเท่านั้น แต่ตัวเธอเองมีความทะเยอทะยานทางการเมืองมากกว่านั้นมาก
Claire จึงเสนอตัวขอเป็นทูตสหรัฐประจำ UN (นั่งทำงานที่นิวยอร์ก บินไปมาระหว่างวอชิงตันกับนิวยอร์ก) ซึ่ง Frank ก็เอาใจเมียด้วยการเสนอชื่อให้เป็น แต่เมื่อต้องทำงานอยู่ในวงการการทูตที่เขี้ยวลากดิน และมีวิกฤต Jordan Valley เข้ามา ทำให้ Claire พลาดท่าให้กับฝ่ายรัสเซีย โดนหลอกจนทำให้ทหารอเมริกันต้องตาย และ Frank ก็ “เสียการเมือง” จนสุดท้ายเขาต้องบีบให้เธอลาออกตามความต้องการของ Petrov ที่นำเรื่องนี้มาต่อรองในการเจรจาระหว่างประเทศ
สายสัมพันธ์ของ Frank และ Claire จึงแย่ลงมากหลังจากนั้น (นี่คือธีมหลักของ Season 3) แม้ตอนแรกทั้งสองคนยังไม่รู้ตัว (คนแรกที่สังเกตออกคือ Tom Yates นักเขียนที่ Frank จ้างมาเขียนชีวประวัติของเขา) และเมื่อ Claire เองเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหว ฉากจบของภาคนี้คือการที่ Claire ประกาศว่าจะขอแยกทางกับ Frank นั่นเอง
ผมคิดว่าตัวละครของ Claire น่าจะเอามาจาก Hilary Clinton ซึ่งเป็น First Lady ที่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง บวกกับ Michelle Obama ในตอนนั้นที่โดดเด่นเรื่องภาพลักษณ์ในสังคมเซเลบริตี้ช่วงนั้น (โอบามายังอยู่ในตำแหน่ง ก่อนยุค Trump) ซึ่งต้องชมว่า Robin Wright เล่นได้ดีสุดๆ คือสวยสง่า มีเสน่ห์ แต่ก็มีความทะเยอทะยาน และกดดันในตัว เราจะเห็นว่าคาแรกเตอร์ของ Claire ไม่เคย breakdown เลยสักครั้ง แต่แสดงออกผ่านความอึดอัดบางอย่างแทนการโกรธเกรี้ยว เพราะกรอบภาพลักษณ์ของ First Lady ที่ค้ำยันไว้ไม่ให้เธอแสดงออกแบบอื่นได้มากนัก
นอกเหนือจากคู่ตัวละครหลัก ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้คือ Doug Stamper ผู้ช่วยฝ่ายการเมืองของ Frank ที่พลาดท่าโดนตีหัวในตอนท้าย Season 2
จังหวะชีวิตของ Doug คือคนมันซวยจริงๆ เพราะเจ้านายได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีตามฝั่งฝัน แต่เขาที่ควรจะเป็น Chief of Staff กลับต้องมานอนในโรงพยาบาล และเดินไม่ไหวถึงขั้นต้องใช้ไม้เท้า ทำกายภาพบำบัด ชีวิตเขาจมดิ่งทั้งเรื่องการงาน สุขภาพ และความรัก เพราะเขาเผลอมีใจให้ Rachel โสเภณีสาวที่มีความสัมพันธ์ love-hate กันมาตั้งแต่ภาค 2 แต่เธอกลับเป็นคนตีหัวเขาสลบ และหายตัวไป
เรื่องราวของ Doug ในซีซัน 2 จึงเป็นความกระเสือกกระสนให้ตัวเองสามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง ทั้งในแง่สุขภาพ การงาน และตามหาตัว Rachel ให้เจอ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะตัวของ Frank เองก็ไม่ได้สนใจรีบดึงเขากลับมามากนัก (ตำแหน่งของเขาโดน Remy รับไปแทนแล้ว) ส่วนการตามหา Rachel สุดท้ายก็พึ่งพาแฮ็กเกอร์ Gavin ผ่านการต่อรองจนช่วยหาตัวของ Rachel ได้สำเร็จในตอนท้ายซีซัน
ต้องบอกว่า ในซีซัน 3 นั้น Doug โดดเด่นมาก และเราได้เห็นอีกด้านของ Doug ที่มีความเป็นมนุษย์ สายสัมพันธ์กับครอบครัวฝั่งพี่ชายที่เข้ามาช่วยดูแลเขาในยามลำบาก จนสุดท้าย Doug กลับมายืนในตำแหน่ง Chief of Staff ได้อย่างที่ตัวเองต้องการมานาน
คู่สุดท้ายที่บทเล็กลงมาอีก แต่กลับเป็นคู่ที่ผมชอบที่สุดคือ Jackie Sharp นักการเมืองหญิงที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งวิปของ Frank กับ Remy ล็อบบี้ยิสต์ที่กลายมาเป็น Chief of Staff
Jackie เป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นนักการเมืองหญิงอนาคตไกล (แต่ไม่เหี้ยมเท่า Frank) มีความฝันทางการเมือง เธอประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2016 โดยมีข้อตกลงว่าจะถอนตัวในภายหลัง แลกกับการเป็น running mate หรือรองประธานาธิบดีคู่กับ Frank ข้อตกลงนี้ทำให้เธอต้องแต่งงานกับหมอผ่าตัดลูกติดสุดหล่อ (เพราะวัฒนธรรมการเมืองอเมริกันที่ต้องมีภาพลักษณ์ครอบครัวอบอุ่น) แต่สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญหน้าทางการเมืองกับ Frank ผู้ที่ต้องการควบคุมทุกอย่าง และไม่มีความเห็นใจให้ใคร ทำให้ Jackie เลือกไปสนับสนุนคู่แข่งอีกคนคือ Heather Dunbar อดีตอัยการสาวแทน และหักกับ Frank ในที่สุด
ส่วน Remy ที่แอบชอบ Jackie มานาน ก็ต้องอกหักที่เห็นเธอมีสามี (เป็นตัวเป็นตน) แม้เขายังคิดถึงเธออยู่เสมอ และช่วงที่เขาเจอปัญหาชีวิต (ตำรวจจับเพราะขับรถเร็ว และใช้อำนาจกดขี่เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดำ) เขาก็เลือกที่จะไปหา Jackie เพื่อระบายความรู้สึกออกมา ภายหลังเมื่อเขาเห็น Frank หักกับ Jackie ก็ทำให้เขาตัดสินใจถอนตัวลาออกจากตำแหน่ง ทิ้ง Frank ไปอีกคน
เมื่อพูดถึงประเด็นการเมืองในซีซัน 3 ต้องบอกว่าพอมาดูในปี 2022 มันก็แทบไม่เก่าเลย เพราะประเด็นการเมืองสหรัฐมันวนๆ อยู่กับประเด็นใหญ่ๆ ไม่กี่เรื่อง เช่น
- การจ้างงาน ซึ่ง AmWorks กลายเป็นของเด็กๆ ไปเลยเมื่อเจอกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดปี 2021 ของรัฐบาล Biden
- การเมืองระหว่างประเทศ คู่ขัดแย้งของซีซัน 2 คือจีน พอมาซีซัน 3 คือรัสเซีย ซึ่งการมาดูการเมืองของประธานาธิบดี Petrov ในปี 2022 หลังเกิดสงครามยูเครนแล้ว ก็ถือว่าเข้าสมัยมาก (เปลี่ยนพื้นที่ขัดแย้งจาก Jordan Valley มาเป็นยูเครนเท่านั้นเอง ประเด็นอื่นใช่หมด)
- ศาลสูง ตัวละคร Heather Dunbar ที่เป็นอัยการตัวแทนรัฐบาล (Solicitor General) ภายหลังมาเป็นคู่ชิงประธานาธิบดีของ Frank ในการหยั่งเสียงของพรรคเดโมแครต ระหว่างทางเธอได้รับข้อเสนอว่า จะเป็นผู้พิพากษาศาลสูง (Supreme Court Judge) ที่เป็นจุดสูงสุดของอาชีพนักกฎหมาย แถมเป็นไปตลอดชีวิต หรือเป็นประธานาธิบดี ที่มีวาระเพียง 4 ปี พอมาดูเรื่องนี้ในช่วงที่ศาลสูงสหรัฐกลับคำตัดสินคดี Roe & Wade เรื่องการทำแท้ง ก็ยิ่งทำให้ประเด็นเรื่องการไม่จำกัดวาระของศาลสูงนั้นเด่นชัดขึ้นอีกมาก
ภาพรวมของซีซัน 3 ไม่มีปมใหญ่ๆ ทางการเมืองเหมือน 2 ซีซันแรก ตัวประเด็นค่อนข้างกระจายไปตามแต่ละตอน (บนธีมหลักคือความห่างเหินของ Frank และ Claire) แต่ภาพรวมของซีซันนี้ก็ออกมาดี ไม่อิหยังวะเหมือนการชิงอำนาจประธานาธิบดีตอนซีซัน 2 ที่ทำเอาผมรับไม่ได้อยู่หลายปี
การเขียนบทและการตัดต่อของซีซัน 3 มีฉากที่ทรงพลังอยู่หลายฉาก อย่างในตอนสุดท้ายที่ Claire ทะเลาะกับ Frank ถูกบีบให้เดินทางกลับมาทำเนียบขาวคนเดียวเงียบๆ แต่ใช้เสียงประกอบเป็นการหาเสียงของ Frank ที่หยุดเสียงลงตอน Claire ปิดประตูห้อง หรือการตามหา Rachel ของ Doug ในตอนสุดท้ายก็ทรงพลังเช่นกัน
ตัวละครหลักหลายคนเล่นได้ดีเยี่ยม ทั้ง Michael Kelly (Doug Stamper) และ Robin Wright (Claire Underwood) ที่กล่าวไปแล้ว ยังมี Elizabeth Marvel ที่เล่นเป็น Heather Dunbar สาวแกร่งสุดพลัง กับ Molly Parker รับบทเป็น Jackie Sharp ที่ขัดแย้งและสับสนในตัวเอง แต่รู้สึกว่าภาคนี้ Kevin Spacey จะดูดร็อปๆ ไปสักหน่อย