ถัดจาก Murder on the Orient Express มาดูภาคต่อ Death on the Nile ซึ่งเป็นนิยายนักสืบปัวโรต์ที่โด่งดังอีกเล่ม
(ถ้าวัดค่าความนิยมแบบเป็นวิทยาศาสตร์หน่อย อิงตามคะแนนรีวิวจาก Goodread คือเป็นนิยายคะแนนดีอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ อันดับหนึ่งคือ The Murder of Roger Ackroyd – source)
Death on the Nile ยังใช้โครงเรื่องแบบเดียวกับ Murder on the Orient Express นั่นคือเป็นคดีฆาตกรรมบนยานพาหนะปิด ในเซ็ตติ้งที่ exotic (รถไฟหรูกลางภูเขาหิมะในยูโกสลาเวีย vs เรือสำราญหรูล่องแม่น้ำไนล์)
ส่วนเวอร์ชันภาพยนตร์ของ Kenneth Branagh ยึดแนวทางการนำเสนอแบบของภาคแรก ที่รวมดาวนักแสดงชื่อดัง และโปรดักชั่นอลังการ (สังเกตได้จากโปสเตอร์หนัง)
จุดต่างสำคัญของพล็อตทั้งสองเรื่องคือ Murder on the Orient Express เป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผู้โดยสารบนรถไฟที่ต่างคนต่างที่มา มาเจอคดีฆาตกรรม “ใครก็ไม่รู้” ในตู้นอนข้างๆ
ส่วน Death on the Nile นั้นกลับกัน ผู้โดยสารบนเรือทุกคนรู้จักกัน มาด้วยกัน และปมของความขัดแย้งชัดเจนว่าเป็นเรื่องของความรัก
แกนหลักของ Death on the Nile คือรักสามเส้าระหว่างไฮโซสาวอังกฤษ Linnet Ridgeway (แสดงโดย Gal Gadot แห่ง Wonder Woman) กับสามีหนุ่ม Simon Doyle และอดีตแฟนสาวของเขาคือ Jacqueline de Bellefort ที่ Linnet ไปแย่งคนรักมาต่อหน้าต่อตา
Linnet และ Simon หนีการจองล้างจองผลาญของ Jacqueline มาจนถึงอียิปต์ แต่สุดท้ายแล้ว Jacqueline ก็ยังตามมาได้ และเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นบนเรือ โดยที่ปัวโรต์ต้องมายุ่งเกี่ยว
หนังยังมีนักแสดงชื่อดังคนอื่นๆ มาร่วมเล่นเป็นผู้โดยสารบนเรือ เช่น Russell Brand มาเล่นเป็นแฟนเก่าของ Linnet หรือ Rose Leslie (Ygritte จาก Game of Thrones) มาเป็นสาวใช้ของ Linnet
ถ้าเทียบเกรดความดังของนักแสดงแล้ว Death on the Nile เป็นรอง Murder on the Orient Express ที่ขนดาราชื่อดังระดับโลกมาเต็มแม็กซ์ (หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง James Bond vs โจรสลัด Pirates of the Caribbean vs นางเอก Star Wars vs ตัวร้าย Spider-Man) แต่ชุดนักแสดงของ Death on the Nile กลับลงตัวกว่า พอนักแสดงไม่ดังเท่า ทำให้เราไม่เกร็งไปกับตัวนักแสดง และอินกับตัวละครได้มากกว่า
หนังเลือกนักแสดงหลักของเรื่องทั้ง 3 คนมาได้ดี Gal Gadot สวยไฮโซสมราคามาก ส่วน Emma Mackey ที่เป็นแฟนเก่า Jacqueline ก็ดูร้ายลึกลับดี
ในส่วนของพล็อต Death on the Nile ยังดัดแปลงเรื่องจากฉบับนิยายอยู่บางส่วน แม้โครงหลักการฆาตกรรมเหมือนเดิม แต่คนตายในเรื่องมีเปลี่ยนเล็กน้อย โดย Bouc เพื่อนของปัวโรต์ที่ตามมาจากภาคแรก ไม่มีบทในฉบับหนังสือเลย และฉากโรแมนติกของปัวโรต์กับ Salome ก็ไม่มีในหนังสือ (ในหนังสือ Salome เป็นนักเขียนนิยาย ไม่ใช่นักร้อง)
ถึงแม้หนังทั้งสองมีโครงเรื่องคล้ายกัน วิธีเล่าเรื่องคล้ายกัน ผมกลับชอบจังหวะของ Death on the Nile มากกว่า พอเราเห็นการเกริ่นสายสัมพันธ์ของตัวละครที่ลงรายละเอียดมากขึ้น (โดยเฉพาะ 3 คนหลักของเรื่องที่เป็นรักสามเส้า) ทำให้อินไปกับพล็อตเรื่องของหนังได้ดีกว่า Murder on the Orient Express ที่จู่ๆ มีผู้โดยสารจำนวนมากมาขึ้นรถไฟพร้อมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
อีกประเด็นเล็กๆ คือฉากเปิดเรื่องที่เล่าประวัติของปัวโรต์ในอดีต (ผ่านความเศร้าจากการสูญเสียช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) ยังทำให้ปัวโรต์ดูเป็นมนุษย์ที่มีมิติมากขึ้น ต่างจากฉากเปิดเรื่องของ Murder on the Orient Express ที่เน้น “ความเพี้ยน” ของปัวโรต์
เกร็ดเล็กๆ อีกอย่างของหนังคือ Death on the Nile เป็นหนังเกี่ยวกับอียิปต์และการล่องแม่น้ำไนล์ แต่การถ่ายทำเกิดในอังกฤษทั้งหมด ถ่ายกันแต่ในโรงถ่าย (สร้างเรือปลอมขนาดเท่าของจริงขึ้นมาในโรงถ่าย ที่เหลือคือ CG)
เกร็ดอีกข้อคือ จุดที่เดินทางในเรื่องเกิดขึ้นที่ตอนใต้ของอียิปต์ ระหว่างเมือง Aswan แล้วล่องเรือมาชมวิหาร Abu Simbel ใกล้พรมแดนประเทศซูดาน
เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในทศวรรษ 1930 (หนังสือออกปี 1937) แต่วิหาร Abu Simbel ถูกย้ายที่ (ขนย้ายทั้งวิหาร) ในปี 1968 เพราะตอนนั้น ประเทศอียิปต์มีแผนทำเขื่อน Aswan Dam (เริ่มสร้างปี 1960 สร้างเสร็จ 1970) กักน้ำจากแม่น้ำไนล์เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้ง และผลิตไฟฟ้า
เขื่อนนี้ทำให้เกิดทะเลสาบใหม่ Lake Nasser เป็นทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งจะท่วมวิหาร Abu Simbel ทำให้ต้องย้ายวิหารทั้งหลัง (ใช้วิธีตัดก้อนหินเป็นชิ้นๆ แล้วมาประกอบใหม่) ให้อยู่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม และถอยห่างจากตำแหน่งเดิม 200 เมตรให้ห่างแม่น้ำกว่าเดิม