ภาคต่อของ Top Gun ที่ทิ้งช่วงไปนาน 36 ปี (ประเด็นสำคัญคือ Tom Cruise ดูแทบไม่แก่ขึ้นเลย) เนื่องจากเพิ่งดู Top Gun ภาคแรกไปเมื่อไม่นานมานี้ เลยยังจำเนื้อหาภาคแรกได้เยอะอยู่
Top Gun: Maverick เป็นเรื่องต่อจาก Top Gun ภาคแรก ที่ Tom Cruise หรือ Pete “Maverick” Mitchell มีโอกาสได้กลับมายังโรงเรียนนักบิน Top Gun อีกครั้ง คราวนี้ในบทบาทใหม่คือเป็นครู ที่ต้องสอนนักบินรุ่นใหม่ไปทำภารกิจแทนตัวเอง
หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดีกว่าที่คาด (ไม่แปลกใจที่กวาดรายได้ไปเยอะมาก) ถือเป็นหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้ดีมากๆ เรื่องนึงเลย พล็อตหลักเป็นการค้นหาตัวตนใหม่ของ Maverick ในยุคที่นักบินรบแบบเดิมเริ่มล้าสมัย บวกกับพล็อตความสัมพันธ์ระหว่าง Maverick กับ “Rooster” ลูกชายของ “Goose” เพื่อนนักบินของเขาในภาคแรกที่เกิดอุบัติเหตุตายจากไป ทำให้ Maverick โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นความผิดของเขา
หนังใช้โครงเรื่องคล้ายกับภาคแรก มีฉากที่ล้อภาคแรกหลายอย่างมาก (เช่น ฉากตอนเปิดเรื่องแทบจะลอกของภาคแรกมาทั้งหมด, พล็อตครูเข้าไปในบาร์แล้วไปเจอนักเรียนในวันรุ่งขึ้น) คนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนอาจจะไม่อินนัก ดังนั้นควรหาโอกาสดูภาคแรกก่อนมาดูภาคสอง
พล็อตรวมๆ ทำออกมาได้สนุก เน้นขับเครื่องบินเป็นหลักเหมือนภาคแรก มีสะดุดเล็กน้อยตอนที่ต้องไปขโมยเครื่องบินฝ่ายศัตรูกัน ก็ได้แต่นึกว่านี่เรากำลังดู Mission: Impossible ภาคใหม่กันใช่ไหมเนี่ย โชคดีว่าพล็อตตรงนี้สั้นๆ และขโมยเสร็จก็กลับไปขับเครื่องบินกันต่อ
ประเด็นและเกร็ดอื่นๆ ในหนัง
- สิ่งที่น่าทึ่ง (ในเนื้อเรื่อง) คือ “Iceman” คู่แข่งของ Maverick สามารถไต่เต้าไปได้ถึงผู้บังคับบัญชากองเรือแปซิฟิก (Commander of the U.S. Pacific Fleet) ถือเป็นภาพคอนทราสต์กับ Maverick ที่ผ่านไปหลายสิบปียังมียศเป็นแค่กัปตันอยู่ เพราะอยากเลือกเส้นทางนี้
- Val Kilmer ซึ่งรับบทบาทเป็น Iceman นั้นตัวจริงป่วยเป็นมะเร็งที่คอจริงๆ ไม่มีเสียงพูด ทำให้หนังเขียนบทให้ Iceman ป่วยแบบเดียวกัน ซึ่งเสียงพูดของ Iceman ในหนังเป็นเสียงพลัง AI
- Maverick ต้องสอนนักบินรุ่นใหม่จำนวน 10 คน พอเป็นหนังยุค 2020s เลยมีนักบินหญิงเข้ามาด้วย ตัวละครที่น่าสนใจคือ “Phoenix” นักบินหญิงที่รับบทโดย Monica Barbaro ทำให้หนังดูสดใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายว่าหนังให้บทกับนักบินอีก 5 คนที่เหลือน้อยไปหน่อย (มีคนที่ใช้โค้ดเนม “Harvard” และ “Yale” ด้วย)
- ก่อนหนังฉาย มีทฤษฎีว่า “Hangman” นักบินคนเท่ของภาคนี้เป็นลูกชายของ Iceman เพราะคาแรกเตอร์ถอดกันมาเลย แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่จริง
- นางเอกของหนังภาคนี้ Penny Benjamin เคยถูกพูดถึงในหนังภาคแรก ว่าเป็น “ลูกสาวนายพล” ที่เคยเป็นแฟนกับ Maverick ทำให้ภาคสองเอาตัวละครนี้มาใช้ซะเลย
- พล็อตเรื่องภาคสองนั้นดูแปลกๆ นิดนึงตรงภารกิจของนักบิน Top Gun ต้องเอาเครื่องรุ่นเก่าคือ F-18 บินเรียดพื้นดินไปโจมตีโรงเก็บยูเรเนียมให้มันยากและท้าทาย โดยในเรื่องนั้น Maverick อธิบายว่าฝ่ายศัตรูมีระบบ GPS jamming ทำให้ใช้เครื่องรุ่นใหม่อย่าง F-35 ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่เมคเซนส์เท่าไรนัก (ขนาดในเรื่องยังเอาขีปนาวุธไปโจมตีสนามบินที่อยู่ใกล้ๆ กันได้ ทำไมใช้ขีปนาวุธไปยิงไซต์นิวเคลียร์ไม่ได้)
- ในความเป็นจริงคือ หนังถูกสร้างออกมาให้ต้องมีฉาก “Tom Cruise ขับเครื่องบินรบจริงๆ” โดยมีข้อจำกัดว่าเนื้อเรื่องของภาคเดิมนั้น Maverick เป็นนักบินของกองทัพเรือ (Navy)
- กองทัพเรือสหรัฐอนุญาตให้ Cruise ขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินได้แต่ไม่ให้ขับเอง และเครื่องบินรุ่นเดียวของกองทัพเรือที่มี 2 ที่นั่งคือ F-18 เพราะเครื่องรุ่นใหม่กว่านี้เป็นที่นั่งเดียวทั้งหมดแล้ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหนังถึงต้องหาพล็อตอะไรสักอย่างมาให้ตัวเอกขับ F-18
- ฉากที่เราเห็นในเรื่องเป็น Cruise นั่งเก้าอี้หลังของเครื่องบิน ที่ติดกล้องพิเศษเพิ่มเข้าไป
- หนังไม่ได้บอกว่าฝ่ายศัตรูในเรื่องคือใคร (ใช้คำว่า rogue nation) ตามแนวทางของหนังสมัยใหม่ ทำให้คนดูต้องเดากันเอง หลาย ทฤษฎีพูดตรงกันว่าเป็นอิหร่านจะใกล้เคียงที่สุด แม้ไม่สามารถสรุปแบบนั้นได้ 100% ก็ตาม
- ตอนเปิดเรื่อง Maverick ไปขับเครื่องบินทดสอบของกองทัพเรือ และสามารถทำความเร็วทะลุ Mach 10 ได้ ในโลกจริงๆ สถิติสูงสุดที่เคยทำกันไว้คือ Mach 6.7 ด้วยเครื่อง X-15 เมื่อปี 1967 (แบบมีนักบิน) และ Mach 9.6 ด้วยเครื่อง NASA X-43 เมื่อปี 2004 (แบบไม่มีนักบิน)
- เครื่องบินทดสอบ Darkstar เป็นเครื่องสมมติ แต่มีวิศวกรจาก Lockheed Martin มาช่วยออกแบบ