The Sea Beast ภาพยนตร์แอนิเมชันที่ Netflix ลงทุนสร้างเองทั้งหมด โดยดึงเอา Chris Williams ผู้กำกับแอนิเมชันของ Disney ที่มีผลงานเรื่อง Bolt, Big Hero 6, Moana ย้ายค่ายข้ามวิกมาเลย ส่วนงานภาพเป็นฝีมือของ Sony Pictures Imageworks สตูดิโอในเครือโซนี่ที่รับจ้างทำงานให้หลายๆ ค่ายอยู่แล้ว (ก่อนหน้านี้คือ Angry Birds Movie)
ตัวของ Williams ให้สัมภาษณ์กับเว็บหนัง IndieWire ว่าเขาฝันที่จะสร้างหนังเรื่องนี้มานาน เรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยในโลกที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งเป็นหนังที่เขาไม่เคยคิดเสนอต่อ Disney เลยเพราะรู้ว่ายังไงโปรเจคก็ไม่ผ่าน (หนัง Disney ต้องมีตลกขำขันนำ ไม่ทำผจญภัยล้วนๆ) เขาจึงตัดสินใจย้ายค่ายมา Netflix เพื่อมาทำความฝันให้เป็นจริงสักที
ความน่าสนใจจึงอยู่ที่คอมโบการผลิต ที่มี Chris Williams ผู้กำกับที่มีผลงานพิสูจน์ตัวเองมาแล้วเป็นแกนกลาง ย้ายมาอยู่กับนายทุนใหม่ Netflix ที่มีอิสระในการทำงานมากกว่า Disney (คือไม่ต้องเป็น “หนังสูตร” แบบ Disney ไปซะทั้งหมด) และมีสตูดิโอรับจ้างฝีมือดีมาช่วยทำแอนิเมชันให้ตามที่ Williams ต้องการ ด้วยส่วนผสมนี้ มันจะออกมาดีแค่ไหน
คำตอบก็คือออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว
The Sea Beast เป็นเรื่องของโลกแฟนตาซียุคกลาง ที่เหล่านักล่า (hunters) ต้องออกมาล่าสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ด้วยเรือใบ ปืนใหญ่ และหอก
ตัวเอกของเรื่องคือ Jacob หนึ่งในลูกเรือของเรือนักล่าที่มีชื่อเสียงที่สุด The Inevitable ที่บังเอิญมาได้เจอกับ Maisie เด็กหญิงกำพร้าที่หลงใหลในเรื่องของนักล่า และได้ผจญภัยด้วยกันในการตามล่า Red Bluster สัตว์ทะเลยักษ์ที่โด่งดังที่สุด แต่เรื่องหลังจากนั้นกลับไม่เป็นไปตามที่ Jacob คิดและคาดฝัน เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า สัตว์ทะเลยักษ์ไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด และไม่ได้เป็นฝ่ายมาโจมตีมนุษย์ก่อนอย่างที่สอนๆ กันมานาน
ธีมของเรื่องเป็นโลกแห่งการสำรวจทางทะเล ใกล้เคียงกับ Pirates of the Caribbean (แต่ไม่มีโจรสลัด เป็นนักล่าแทน) ความลึกลับและปริศนาของเรื่องชวนให้ผมคิดถึง The Secret of Blue Water แต่ผู้กำกับพูดว่าได้แรงบันดาลใจมากจาก 20,000 Leagues Under the Sea (ซึ่ง The Secret of Blue Water ก็ได้แรงบันดาลใจมาอย่างมากเหมือนกัน)
งานภาพทำได้สวยงาม เอฟเฟคต์น้ำทะเลดูสมจริง เรื่องครึ่งแรกทำได้สนุกและน่าติดตามมาก เพราะหนังค่อยๆ คลี่โลกแฟนตาซีทางทะเลออกมาให้ผู้ชมสัมผัสทีละส่วน อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของเรื่องกลับขมวดปมไคลแม็กซ์ได้ไม่ค่อยสุดทางนัก
แกนหลักของเรื่อง The Sea Beast เป็นไปตามหนังสูตรทั่วไป เมื่อ Jacob และ Maisie เป็นมิตรกับสัตว์ทะเลยักษ์ Red และเรียนรู้ว่าสัตว์ทะเลไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับมนุษย์ จึงตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับฝ่ายอาณาจักรเพื่อทวงสิทธิ์ให้สัตว์ทะเล และฉีก “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง” ลง
น่าเสียดายว่าหนังกลับตัดจบไปซะดื้อๆ ด้วยการให้ Jacob และ Maisie ออกเดินทางไปอยู่เกาะร่วมกับสัตว์ทะเลเพียงลำพัง ทิ้งปมอีกหลายๆ อย่างที่อุตส่าห์ปั้นมาตั้งนานโดยไม่คลี่คลายคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นการตกผลึกของ Captain Crow กัปตันของเรือ The Inevitable ที่เปรียบเหมือนพ่อของพระเอก Jacob, การเฉลยว่าสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างเกิดมาได้อย่างไร, แม่มด Gwen Batterbie ที่ปั้นมาตั้งนานให้ดูเป็นตัวร้ายสุดท้าย ก็ตัดทิ้งไปเฉยๆ รวมถึงตัวละครที่น่าเสียดายคือต้นหนเรือ Sarah Sharpe ที่มีศักยภาพอีกมากในการเชื่อมเรื่อง (เหมือนตั้งใจให้มีภาคต่อเลย แต่จะอย่างไรก็ควรขมวดให้จบครบในตัวอยู่ดีนะ)
อีกอย่างที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้คือ ตัวสัตว์ยักษ์ Red Bluster ออกแบบมาดูไม่ค่อยสวยสมศักดิ์ศรีเจ้าทะเลเท่าไรนัก ตัวสัตว์สีเขียวที่ออกมาให้ถูกล่าตอนแรกยังเท่ซะกว่า
ภาพรวมของหนังทำได้ดีเลย จุดที่ทำได้ดีคือตัวละครหลักทั้งสองตัว, โลกแฟนตาซีที่น่าสนใจอยากรู้เรื่องต่ออีก และแอนิเมชันที่ทำได้สวยงาม
ให้คะแนน 8/10 ถ้าตอนจบขมวดดีกว่านี้อีกหน่อยจะให้ 9 แล้วล่ะ