in Movies

The Monkey King

ภาพยนตร์แอนิเมชันปี 2023 ที่สร้างโดย Netflix แต่จริงๆ แล้วทีมงานสร้างมาจาก Pearl Studio หรือชื่อเดิม Oriental DreamWorks (DreamWorks Animation สาขาเซี่ยงไฮ้)

ผู้กำกับ Anthony Stacchi เคยอยู่ในทีมทำแอนิเมชันบางเรื่องของ DreamWorks ยุค 90s-2000s เช่น Antz และ Spirit: Stallion of the Cimarron รวมถึงเคยมีผลงานกำกับ Open Season ของ Sony Animation ด้วย ส่วนทีมงานคนอื่นๆ โดยเฉพาะทีมพากย์เป็นอเมริกัน-จีนเกือบหมด

ดูชื่อเรื่องแล้วเดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นเรื่องของ “ซุนหงอคง” (รอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ในสากลโลก) โดยจับความชีวิตช่วงต้นของซุนหงอคง ตั้งแต่เกิดจากก้อนหิน อาละวาดบนฝ่ามือพระยูไล แล้วโดนจับขังไว้ในถ้ำ 500 ปี จบลงด้วยคณะของพระถังซำจั๋งมาชวนไปชมพูทวีปด้วยกัน

ตัวเอกลิงในเรื่องนี้ไม่มีชื่อตรงๆ แต่เรียกตัวเองว่า “Monkey King” สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือตัวละครคู่หู่ sidekick เป็นเด็กหญิงชาวจีนชื่อว่า Lin ร่วมผจญภัยไปกับ Monkey King ไปทั่วทั้งในทะเล นรก และสวรรค์ แน่นอนว่าตามพล็อตที่วางไว้ต้องมีบทให้ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เพื่อให้เกิด character development บ้าง

คาแรกเตอร์ของ “ซุนหงอคง” ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีกในสื่อสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร การ์ตูน เกม ฯลฯ โดยนิสัยใจคอที่โดดเด่นของหงอคงคือ ความซุกซน กล้าหาญ ขี้โอ่ หยิ่งผยอง ฯลฯ คำถามสำคัญของผู้สร้างหนังที่เกี่ยวกับหงอคง จึงเป็นว่าจะสร้างความแตกต่างจากเรื่องเล่าเวอร์ชันก่อนๆ อย่างไร

The Monkey King พยายามใส่ตัวละคร Lin เข้ามาช่วยบาลานซ์ แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะคาแรกเตอร์ของ Monkey King ในฐานะตัวเอกของเรื่องนั้นเป็นไปตามแบบฉบับมาก เย่อหยิ่ง โมโหร้าย ไปตลอดทั้งเรื่อง ส่วนจุดหมายในชีวิตก็มีเรื่องเดียวคืออยากเป็นอมตะ เป็นเทพกับเขาบ้าง เรียกว่าแบนราบมาก จนดูไปครึ่งเรื่องกว่าๆ แล้วก็เกิดคำถามในใจว่า “เราจะดูไปทำไมเนี่ย”

ส่วนการใส่ Lin เข้ามาก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะ Monkey King แทบไม่สนใจเธอเลยสักนิด และฉาก climax ตอนท้ายที่ต้องเจอกับพระยูไล เอาจริงแล้ว Lin ก็แทบไม่มีบทบาทจริงๆ สักเท่าไรด้วย (ฝ่ามือพระยูไลเวอร์ชันนี้ มีกระโดดไปถึง Pillars of Creation ด้วย)

สิ่งที่หนังทำได้ดีจึงเหลือแต่งานภาพที่โดดเด่น มีสไตล์แปลกใหม่ เป็น Monkey King วัยรุ่นสาย graffiti สีสันฉูดฉาด กระบองไฟนีออนเรืองแสงราวกับเป็นไลท์เซเบอร์ (กระบองเกือบจะ “พูดได้” และกลายเป็น sidekick ตัวที่สอง แต่สุดท้ายก็ไม่ไปสุดทางนั้น) ฉากต่อสู้ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการดี แต่พอมาเจอพล็อตหลักที่มันไม่สนุก ก็เสียดายศักยภาพของหนังที่อุตส่าห์ทำงานภาพออกมาได้ดีเลย

ให้คะแนน 6/10 ดูได้พอเพลินๆ แต่รอบเดียวก็พอ