in Movies

Star Wars: The Rise of Skywalker

ในที่สุดก็มีโอกาสได้ไปดู The Rise of Skywalker ปัจฉิมบทของ Star Wars ในโรงภาพยนตร์ หลังจากตอน The Last Jedi พลาดดูในโรง ต้องไปดูบนเครื่องบินแทน

เนื่องจากดูช้ากว่าชาวบ้านเขาไปพอสมควร เลยอ่านคะแนนรีวิว + ความเห็นคนอื่นๆ (แบบไม่สปอยล์) มาบ้าง ก็ทำใจมาพอสมควร (metacritic 53%) แต่ดูแล้วก็พบว่าดีกว่าที่คาดหวังไว้ แม้จะไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็นก็ตาม

เขียนถึงสักหน่อย แน่นอนว่าสปอยล์

เอาเฉพาะตัวหนังภาค IX ก่อน

ชอบ

  • ฮาน โซโล ออกมานิดเดียว แต่เท่กว่าใคร ขโมยซีนไปเกือบหมด
  • ไคโล เรน ภาคนี้ไม่น่ารำคาญมากเหมือนภาคก่อนๆ (แต่โดยรวมก็ยังถือเป็นตัวละครที่แย่อยู่)
  • Millennium Falcon ทำ multiple jump ในตอนแรกๆ เท่ดี แปลกใหม่
  • Poe ภาคนี้มาดเท่มาก แต่ก็สู้แบบลูกทุ่งเหมือนเดิม
  • ยาน Tie Fighter ของไคโล เรน รู้สึกอลังการกว่าเดิม เหมาะแก่การขายของเล่นมากๆ
  • Zorii น่าสนใจและน่าดึงดูดมาก อยากให้ทำหนังภาคแยก
  • ฉากลบความทรงจำของ C-3PO
  • ฉากส่งดาบของเรย์และเรน และดาบคู่ของเรย์ดูแปลกใหม่
  • CG หลายฉากทำสวยดี โดยเฉพาะดวงจันทร์เอนดอร์ ซากของ Death Star II
  • ตอนจบ ดูตั้งใจเป็นตำนานดี (ตอนแรกไม่แน่ใจว่า Tatooine หรือ Jakku)
  • ฉากเรย์ปล่อยสายฟ้า เซอร์ไพร์สดี

ไม่ชอบ

  • หนังยังไม่เล่าเรื่อง ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดนอกหนังเหมือนเดิม สโนคคือใคร First Order คือใคร Final Order ต่างกันยังไง พัลพาทีนคืนชีพได้ยังไง ฯลฯ คิดว่าเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของไตรภาคนี้ (จะเขียนถึงประเด็นนี้ต่อไป)
  • ใช้ผี Force Ghost เปลืองไปหน่อย ออกมานิดๆ หน่อยพอโอเค แต่มาอิหยังวะ ตอนผีลุค เดินได้คุยได้ ใช้ฟอร์ซเรียกยานได้ อันนี้เกินไป แบบนี้ไม่ต้องตายก็ได้มั้งพี่
  • หุ่นยนต์ลำโพง D-0 แทบไม่มีประโยชน์กับเนื้อเรื่อง เอามาเพื่อขายของชัดๆ คือภาคนี้มีดรอยด์ตั้ง 4 ตัว แย่งซีนกันสนุก
  • หนังมีฉากตั้งใจขายของเล่นมากไปหน่อย เช่น ฉากขี่สปีดเดอร์ไล่ล่ากัน หรือ Knights of Ren ที่ดูรู้เลยว่าตั้งใจทำมาเพื่อขายฟิกเกอร์ แต่ภาคนี้กลับไม่ค่อยมียานแปลกๆ ใหม่ๆ มากนัก ยังเน้นบทของ Millennium Falcon มากไปจนเริ่มเฝือ ยานทีเด็ดของภาคนี้กลับกลายเป็น X-Wing รุ่นดั้งเดิม (ซะงั้น)
  • เรย์ปล่อยสายฟ้ามาครั้งเดียว ใส่มาทำไม ถ้าปล่อยสายฟ้าได้ก็ควรเอาสายฟ้ามาเป็นทีเด็ดต่อได้ (คาดหวังว่าจะได้เห็นยิงสายฟ้าสู้กับจักรพรรดิ)
  • ความพยายามบิ้วให้ Jannah อาจเป็นลูกของ Lando รู้สึกยัดเยียด

ประเด็นอื่นๆ

  • การตัดบทของ Rose ออก –> คนโวยเยอะ (โดยเฉพาะคนที่ชอบ The Last Jedi) แต่ผมเฉยๆ คือมีหรือไม่มี ไม่มีผลมากนัก
  • ฉากจูบกันที่โดนวิจารณ์เยอะ –> เฉยๆ เหมือนกัน คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
  • หนังมันเร็วมาก เดินเรื่องรัวๆ ไม่มีหยุดพัก ไม่มีเวลาได้นั่งขบคิด อันนี้อ่านในรีวิวฝรั่งหลายเจ้าก็พูดเหมือนกัน
  • ครึ่งแรกของหนัง อารมณ์เหมือนกับ Harry Potter ภาคสุดท้าย คือ ยัดบทของอุปกรณ์นำทางสักอย่างมาก (Horcrux vs Sith Wayfinder) แล้วตัวเอกต้องไล่ลาหาอุปกรณ์ชิ้นนี้กันไปตามที่ต่างๆ
  • รู้สึกว่าคณะไล่ล่ามีคนเยอะไปสักหน่อย คือมีกลุ่มตัวละครหลัก 3 คน + ชิววี่ + C-3PO + BB-8 ทำให้มันดูล้นๆ เกินไป และใช้เวลากับตรงนี้มากไปหน่อย (แถมสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์คือวิธีไป Exegol มาแบบมั่วๆ ทั้งเรย์ไปยึดของเรนมา กับโพ-ฟินไปเจอร่องรอยจากในยานเก่า)
  • ฉากที่ขำที่สุด (เกือบหัวเราะออกมา) คือเรย์ขโมยยาน Tie Fighter ของไคโล เรน ที่ดวงจันทร์เอนดอร์ แล้วมีความรู้สึกว่ามันควรกลายเป็นมีม เขียนบรรยายความคิดของเรนว่า ฉันจะออกจากที่นี่ยังไง

ถ้าให้คะแนนคงสัก 6.5 หรือ 7/10 คือ Enjoyable สำหรับแฟนๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจนัก มันควรจะดีได้มากกว่านี้

ภาพรวมของทั้งไตรภาค The Sequel Trilogy (VII-VIII-IX) 

  • ปัญหาหลักของไตรภาคนี้คือ เราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเรื่องคืออะไรกันแน่ เพราะเกิดจากหนัง (ทั้งสามภาค) ไม่ยอมเล่าเรื่องที่มาที่ไปของจักรวาล Star Wars ว่า 30 ปีต่อมาหลัง Episode VI เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จักรพรรดิตายแล้วจักรวรรดิกลายเป็นอะไร สาธารณรัฐใหม่เกิดขึ้นได้ไหม First Order คือใคร มีไว้ทำไม
    • มันเลยทำให้เราไม่รู้ว่าตกลงแล้วธีมใหญ่ที่สุดของ Sequel Trilogy คืออะไร เราสู้ไปเพื่ออะไร สู้กับใคร ซึ่งเปลี่ยนไปตลอดเวลา Ep. VII สู้กับ Snoke, Ep. VIII อ้าว Snoke ตายเฉยเลย, Ep. IX อ้าว จักรพรรดิโผล่มา เป้าหมายคืออะไร
    • ในขณะที่ไตรภาคอื่น เป้าหมายมันชัดเจนว่าคืออะไร Original Trilogy (IV-VI) มันคือเรื่องราวของฝ่ายกบฎตัวเล็กๆ สู้กับจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ และ Prequel Trilogy (I-III) เป็นแผนอันเหนือชั้นของพัลพาทีนในการยึดจักรวรรดิ
    • เรื่องราวใน Sequel Trilogy มันจึงล้อเส้นเรื่องหลักของ Original Trilogy คือฝ่ายต่อต้านที่เป็นมวยรอง สู้กับขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่พอรายละเอียดของฝ่ายขั้วอำนาจไม่ชัดเจน เราเลยไม่ค่อยมีส่วนร่วม ไม่อินไปกับการต่อสู้ครั้งนี้ (ต่างจากจักรวรรดิที่รู้ว่า อ๋อ ปกครองจักรวาล มีจักรพรรดิ มีเวเดอร์ ในขณะที่ Snoke คือใครอะ ดูจนจบแล้วยังไม่รู้เลย)
  • ปัญหาที่สอง ที่หนักหน่วงพอๆ กันคือ เกิดความไม่ลงรอยกันในภาค VIII และ IX อย่างเห็นได้ชัด จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่แน่ใจ (ความขัดแย้งในทีมโปรดิวเซอร์?) แต่พอภาค VIII มีปัญหาเรื่องการเล่าเรื่องหลายอย่าง ทำให้ภาค IX ต้องมีภารกิจ “กู้เรื่อง” กลับมาด้วย ทำให้หลายอย่างดูขัดกันมาก
    • สิ่งที่ขัดแย้งกันชัดที่สุดคือ ปมรองของเรื่อง ว่าด้วยตัวตนของเรย์ว่าคือใคร
    • ภาค VII เปิดมาด้วยการตั้งคำถามว่าเรย์คือใคร และพยายามให้เราคาดเดาว่าเธอคือลูกของลุค
    • พอภาค VIII พล็อตเปลี่ยนว่า เรย์เป็น nobody คือเป็นใครสักคนที่ไม่สำคัญ แค่เกิดมาพร้อมพลัง force เยอะเท่านั้น (ซึ่งผมชอบนะ คำอธิบายนี้)
    • ภาค IX อ้าวหักมุมอีก กลายเป็นยัดให้เรย์เป็นหลานของพัลพาทีนแบบงงๆ ถึงแม้อธิบายได้ว่าทำไมมีพลัง force เยอะ แต่มันก็ยัดเยียดเกินไป ถ้าตั้งใจให้เป็นแบบนี้ก็ควรจะ hint มาตั้งแต่ภาค VII สิ
    • ความไม่สม่ำเสมอของพล็อตแบบนี้ ทำให้ไตรภาคนี้สับสนและงงงวย (นอกจากพล็อตของเรย์ก็ยังมีเรื่องของ Rose แต่คิดว่านั่นเป็นประเด็นรอง)
    • ถ้าภาค VIII ในฐานะ “บทตรงกลาง” ของไตรภาค ใช้เวลากับการอธิบายเรื่องให้มากกว่านี้ (แล้วภาค IX ค่อยมาขมวด) ทั้งไตรภาคจะดีกว่านี้มาก แต่พอภาค VIII ไม่ได้ทำงานของมันในแง่การให้ข้อมูลกับผู้ชม มันเลยเละต่อมาถึงภาค IX ด้วยเลย
  • วิธีการเล่าเรื่องของ Sequel Trilogy คือพยายามใช้ตัวละครหลัก 3 คนเป็น Trio (เรย์ ฟิน โพ) เหมือนกับ Original Trilogy (ลุค ฮาน เลอา) โดยสลับผู้หญิงมาเป็นตัวละครนำแทน (บทของฟินออกจะด้อยไปสักนิด) แต่ดันมีวิธีการเล่าอีกแบบคือคู่ของเรย์กับเรนด้วย (เป็นคู่พระนาง-รักแค้น) ตรงนี้คิดว่าแปลกใหม่ดี ซึ่งพอมีวิธีเล่าเรื่องสองแบบขนานกันไป ทำให้มันดูงงๆ ไปหน่อยว่าควรจะโฟกัสที่ตรงไหน
    • ส่วนตัวแล้วชอบวิธีแบบคู่พระ-นาง รักแค้นแบบนี้มากกว่า ถ้าเน้นความเป็นคู่มากขึ้น แล้วลดความเป็น Trio ลงสักหน่อยน่าจะลงตัวขึ้น (หนังพยายามเอาฟินมาแย่งความสนใจจากเรย์ ซึ่งก็ไม่เป็นผลเลย เสียเวลาด้วย)

โดยรวมให้คะแนนไตรภาค Sequel สักประมาณ 6/10 ละกัน ชอบน้อยกว่าภาค Prequel ที่ได้ประมาณ 8/10 (การเมืองเข้มข้น แม้มีจาร์จาร์บิงก็ตาม)