Solo: A Star Wars Story เป็นภาพยนตร์ Star Wars ยุค Disney เรื่องเดียวที่เหลืออยู่ที่ไม่ได้ดูในโรง พอมี Disney+ เข้ามาก็เลยได้ฤกษ์ เปิดดูเป็นเรื่องแรก
หนังจับความช่วงก่อน Episode IV ประมาณสิบปี เป็นช่วงที่ Han Solo อยู่ในวัยประมาณ 20 เพิ่งออกมาเผชิญโลก และกระแสต่อต้านจักรวรรดิเริ่มก่อตัวขึ้น
เนื่องจากได้ยินเสียงวิจารณ์มาก่อนหน้าพอสมควร เลยไม่ได้คาดหวังมากนัก พอมาดูจริงๆ ก็พบว่ามันก็ไม่ได้แย่มาก แต่ก็ควรดีกว่านี้ได้อีกมาก
- ปัญหาสำคัญของหนังอยู่ที่นักแสดงนำ Alden Ehrenreich ที่รับบทเป็น Han Solo เพราะบุคลิกไม่ให้ ดูยังไงก็ไม่ใช่ เมื่อบวกกับธีมของหนังที่ต้องการขับบุคลิกของ “Solo วัยหนุ่ม” ออกมาให้เด่นที่สุด มันจึงกลายเป็นแย่ไปเลย
- ตัวละครรองคนอื่นก็แย่เกือบหมด นางเอก แม่มังกร Emilia Clarke ถูกวางบทมาให้เป็น “อดีตคนรักที่มีปริศนา” และต้องลังเลว่าจะเลือกใคร ก็ไปไม่สุดทาง หนังเลือกไม่สุด ดันเลือกอยู่ตรงกลางระหว่างเผยอดีตของ Qi’ra ช่วงที่หายไปให้ขยี้หัวใจ กับการขยี้บททรยศหักหลังกันไปเลย เลยไม่สุดสักทาง กลายเป็นว่าจะรักก็ไม่สุด จะหักหลังก็ยังมีเยื่อใย แล้วไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
- ตัวละครอีกตัวคือ Tobias Beckett นักล่าเงินรางวัลที่มีสถานะเป็น mentor/father figure ของ Solo วัยหนุ่มก็กลับมีคาแรกเตอร์ไม่โดดเด่นนัก (เมื่อเทียบกับจักรวาล Star Wars ที่มาตรฐานเรื่องความเด่นสูงมาก) กลายเป็นคุณลุงทั่วไปที่ไม่น่าจดจำ
- คนเดียวที่โดดเด่นคือ Lando Calrissian เวอร์ชันตีความใหม่แบบ Childish Gambino ที่แพรวพราวขึ้นกว่า Lando เวอร์ชันต้นฉบับมาก คนชม Donald Glover กันเยอะมาก ก็ต้องยอมรับว่าเล่นดีจริงๆ
- ช่วงประมาณครึ่ง ชม. แรกของหนังทำดีมาก น่าติดตามมาก แต่พอจบฉากระเบิดรถไฟแล้ว หนังกลับเสียพลังของมันไป
- อีกประเด็นที่ไม่ค่อยชอบนัก (แม้เป็นแฟน Star Wars) คือหนังพยายาม “โยง” กับแง่มุมอื่นๆ ในจักรวาล Star Wars มากเกินไปจนมันค่อนข้าง “แข็ง” (ที Episode IX ที่ควรโยงเยอะๆ กลับไม่ทำนะ) เหมือนบทหนังมี requirement ว่าต้องโยงกับตำนานจุดโน้น บทพูดในไตรภาคต้นฉบับตรงนั้น ฯลฯ ทำให้ความสนุกในตัวเรื่องเองมันหายไปเยอะ
- Darth Maul เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเด็นนี้ ทำไมหนังต้องขมวดปมจบให้มี Darth Maul ด้วย นอกจากการเอาใจแฟนๆ รุ่นเก่า แล้วยังคิดสาเหตุไม่ออกเลย การมี Darth Maul กลับทำให้แฟนรุ่นใหม่งง และเส้นเรื่องจบไม่ลงในตัวเองด้วยซ้ำ (คือตั้งใจวางไว้ต่อภาค 2 เกินไป พอหนังแป๊กก็คงไม่ได้ทำต่อ) ในขณะที่ตัวร้ายตัวแรก Dryden Vos กลับไม่มีเวลาอธิบายแบ็คกราวน์ของเขามากนักว่าคือใคร ทำอะไร แรงจูงใจคืออะไร
- ตอนท้ายๆ Maul สั่งให้ Qi’ra ไปหาที่ดาว Dathomir รู้สึกคุ้นชื่อมาก จนสุดท้ายมาพบว่าอยู่ในเกม Jedi: Fallen Order
- อีกปัญหาที่พบคือหนังยาวมาก 135 นาที หลายจุดรู้สึกยืด (เช่น ตอนขับยานพุ่งออกจากกลุ่มเมฆ ที่ต้องไปเติมเชื้อเพลง) สามารถลดเวลาให้กระชับลงกว่านี้ได้ หรือเอาเวลาไปอธิบายส่วนอื่นที่ควรอธิบายดีกว่า
ภาพรวมก็คือดีใจที่ได้มาดูเรื่องราวของยาน Millennium Falcon สักทีว่าเป็นยังไงมายังไง ที่ Han กับ Lando เล่นพนันกันมันเป็นอย่างไร เจอกับ Chewbacca ได้ยังไง แต่ที่เหลือรู้สึกว่าหนังตั้งใจ “ยัด” ประเด็นมากไป บวกกับนักแสดงที่ไม่ค่อยลงตัว มันเลยไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
ในภาพยนตร์ยุค Disney ก็ต้องยอมรับว่า Rogue One ดีที่สุดจริงๆ