นั่งดู Rebel Moon หนังไซไฟเรื่องใหม่ของ Zack Snyder ที่ฉายทาง Netflix (มีแบ่งเป็น Part 1 และ Part 2 ที่จะเริ่มฉายเดือนเมษายน 2024) แล้วถึงขั้นต้องมานั่งหาข้อมูลว่า หนังเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
Rebel Moon เป็นหนึ่งในหนังที่ได้คะแนนรีวิวต่ำเรี่ยดิน (21% บน Rotten Tomatoes) คิดว่าพาดหัวของเว็บ SFGate น่าจะเขียนไว้เห็นภาพ Netflix’s ‘Rebel Moon’ is one of the worst movies ever made
ก่อนดูก็ทราบดีว่ารีวิวมันห่วย ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว แต่พอได้ดูเองแล้วก็ไม่คิดว่ามันจะห่วยขนาดนี้ 555 เมื่อมาเจอพล็อตเรื่องสุดแบนอย่างไม่น่าเชื่อ เลยสงสัยว่าโปรเจคหนังระดับนี้เขาได้ทุนสร้างมาได้อย่างไร (ถ้าไม่รวมเรื่องชื่อเสียงเดิมของผู้กำกับ) ว่ากันว่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์
ทุกคนมักพูดถึง Rebel Moon ว่ามันคือ Star Wars ที่ไม่มีคำว่า Star Wars แปะอยู่ ซึ่งจุดเริ่มต้นเรื่องนั้นถูกต้อง ชาวบ้านในดาวเคราะห์เกษตรห่างไกล เจอการข่มขู่รีดไถของจักรวรรดิ ที่มียานรบขนาดยักษ์ Dreadnought (แบบเดียวกับ Star Destroyer) เหาะมาโผล่เหนือท้องฟ้า
นางเอก Kora ซึ่งเป็นอดีตทหารของจักรวรรดิ จึงต้องตามหา “นักรบรับจ้าง” จากทั่วจักรวาลที่มาช่วยต่อสู้กับฝ่ายจักรวรรดิ (เจอกับเจ้าของยานอวกาศรับจ้างในบาร์ ให้มันได้แบบนี้สิ!) ทำให้ตลอดทั้งเรื่องของ Rebel Moon เหมือนการทำเควสต์เก็บเพื่อนในปาร์ตี้ไปเรื่อยๆ โดยที่เพื่อนแต่ละคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ไม่ค่อยมี ก่อนไปขมวดปมเล็กหน่อยในตอนท้ายให้มีฉากต่อสู้ใหญ่ๆ ไคลแม็กซ์สักหน่อยนึง
ตรงนี้ผมนึกถึง Armageddon ที่ต้องไปไล่ตามหานักขุดเจาะไปทำลายอุกกาบาต แต่ไปอ่านเบื้องหลังมาพบว่าแนวคิดของ Zack Snyder เอามาจาก Seven Samurai ของ Akira Kurosawa ที่ชาวบ้านพยายามสู้โจรป่า โดยการไปตามหาซามูไร 7 คนมาช่วยกันต่อสู้กับโจร ซึ่งก็ใช่เลย เพราะ Rebel Moon คือ “Seven Samurai in Space” นั่นแหละ
การสร้างโลกของ Rebel Moon ก็มึนๆ งงๆ ยิ่งมาฉายในปี 2023 มันถือเป็นหนังไซไฟเกรดบี ที่ใครๆ ก็คิดโลกแบบนี้ได้ ฝ่ายจักรวรรดิที่เรียกว่า Motherworld ปกครองดาวเคราะห์จำนวนมากที่แตกต่างกันไป พล็อตแบบนี้ถ้าอยู่ใน Star Wars ภาคแรกปี 1977 มันก็ดูแปลกใหม่ แต่พอมาฉายในยุคสมัยปัจจุบันมันก็ซ้ำซากมากแล้ว
ย้อนอ่านไปดูแล้วพบว่า Snyder ได้ไอเดีย Seven Samurai in Space มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาช่วงต้นยุค 1990s ซึ่งเข้าใจได้ว่าไอเดียตอนนั้นมันคงแปลกใหม่จริง แต่เมื่อเวลาผ่านมาราว 30 กว่าปี โลกเรามีหนังไซไฟลักษณะนี้เกิดขึ้นมานับไม่ถ้วน การใช้พล็อตเดิมๆ ตัวละครเดิมๆ ที่จินตนาการขึ้นมาในยุคนั้น โดยไม่เปลี่ยนไป มันก็ไม่ไหวจริงๆ (Snyder ไม่ยอมหั่นตัวละครออก หนังเลยต้องแยก 2 ภาค คงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าแกยึดมั่นกับไอเดียดั้งเดิมจริงๆ มันคงคาใจ เป็นฝันในวัยเยาว์) แถมตัวแกเองก็ไม่แคร์เสียงวิจารณ์ด้วย
หลังจากดูจบและอ่านเบื้องหลังจบแล้ว รู้สึกเสียดายผู้กำกับที่เคยทำหนังเจ๋งๆ แบบ 300 อย่างมาก
ภาคสองมาก็คงไม่ดูแล้ว รู้สึกเสียดายเวลา