เล่นภาคแรก Ori and the Blind Forest แล้วชอบ มีจังหวะเลยไปหาภาคสองมาเล่นต่อ (เล่นบนพีซี Steam ด้วยจอย Xbox One) ก็พบว่าไม่ผิดหวัง
รีวิวทุกเจ้าพูดตรงกับว่า Ori and the Will of the Wisps เป็นภาคต่อที่ยิ่งใหญ่กว่าภาคแรก ก็คิดว่าสะท้อนภาพรวมของเกมได้ดี มันเป็นการนำเกมภาคแรก (ที่ทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว) มาปรับปรุง (ในที่นี้คือ refine) ให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านกราฟิกและเกมเพลย์
Graphic
สิ่งแรกสุดที่จับต้องได้คือกราฟิกของ the Will of the Wisps พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก จากฉาก 2D แนวการ์ตูนในภาคแรก กลายมาเป็นฉาก 3D แบบหลายเลเยอร์ซ้อนทับกันไป การทำฉากเป็น 3D เต็มรูปแบบทำให้โลกในเกมสมจริงมาก เพราะสภาพแสงเปลี่ยนไปตลอดเวลาตามการเคลื่อนไหวของตัว Ori
Ori เป็นภูติแห่งแสง มีประกายรอบตัวอยู่แล้ว เดินไปไหนก็จะมีแสงสะท้อนจากวัตถุในฉากนั้นๆ โดยเฉพาะยิ่งในฉากที่มืดๆ การสะท้อนแสงยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีก (ฉากเปิดเรื่องแรกๆ ที่ Ori ตกไปในป่ามืดๆ และต้องใช้คบไฟกวัดแกว่ง เห็นการสะท้อนของไฟแล้วประทับใจมากๆ)
นอกจากนี้ องค์ประกอบในฉากยังจับต้องได้ทั้งหมด ใบไม้หรือกิ่งไม้บนพื้นสามารถสั่นไหวตามการสะท้อนของอาวุธแต่ละประเภทได้ต่างกัน น้ำหยดหรือกระเพื่อม ฯลฯ รายละเอียดพวกนี้น่าประทับใจมากๆ และดูจากภาพนิ่งหรือแม้แต่คลิปก็ตาม มันไม่สามารถสัมผัสได้ 100% เท่ากับการได้ปฏิสัมพันธ์กับฉากจริงๆ ผ่านการควบคุมของเราเอง
ตัว Ori เองก็เปลี่ยนจากการเป็นภาพ sprite 2D ในภาคแรก กลายเป็นโมเดล 3D (ที่เคลื่อนไหวในระนาบ 2D) เต็มรูปแบบ ทำให้แอคชั่นเยอะ และเปลี่ยนไปมาตามบริบทของฉากได้เช่นกัน – อ่านรายละเอียดในบทสัมภาษณ์ของ Moon Studio
ในบทสัมภาษณ์อีกอันของทีมงาน บอกว่า Ori ภาค 2 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเกมแอคชั่น 2D (ที่ในวงการเรียก Metroidvania) ที่สร้างด้วยเทคโนโลยีกราฟิกของยุคสมัยนี้ควรเป็นอย่างไร ก็คิดว่าเป็นข้อสรุปที่ดีจริงๆ คือดันขีดจำกัดของเกม 2D แบบนี้ไปจนสุดทาง
Deliver an outstanding visual experience that really shows the world what a 2D metroidvania could look like in today’s time.
มีคนทำคลิปเปรียบเทียบกราฟิกของเกม 2 ภาคไว้ด้วย
ข้อเสียที่ตามมาของกราฟิกอลังการระดับนี้ แน่นอนว่าโหลดช้า และปัญหาเฟรมเรตครับ
โหลดช้านี่ตอนเข้าเกม ผมสามารถสั่งเปิดเกมแล้วเดินไปกินน้ำหรือเข้าห้องน้ำ กลับมาก็พร้อมเล่นได้พอดีๆ ซึ่งถือว่าช้ากว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับภาคแรก
ส่วนเฟรมเรตตกนี่เจอได้บ่อยๆ (โดยเฉพาะจังหวะคับขัน) สเปกเครื่องที่ใช้เป็น GeForce 1060 Mobile ที่เล่นภาคแรกได้สบายๆ มาเจอ the Will of the Wisps เข้าไปก็มีร้องไห้เป็นพักๆ เหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าอยากได้การ์ดจอแรงๆ ก็จากเกมแบบ Ori นี่ล่ะ (เกมมีเวอร์ชัน Switch ด้วย ก็น่าเคารพยกย่องในการ optimize ให้สามารถเล่นเกมกราฟิกแบบนี้ได้บน Switch)
เทรลเลอร์ Ori เวอร์ชัน optimized for Xbox Series X เห็นแล้วอิจฉาแสนยานุภาพเครื่อง
Gameplay
ถัดจากเรื่องกราฟิก สิ่งที่ต่างจากภาคแรกมากพอสมควรคือระบบของเกมเพลย์ โดยแกนหลักแล้ว the Will of the Wisps ยังเป็นเกมแนว platformer ที่เน้นการ “เหาะเหินเดินอากาศ” เช่นเดียวกับภาคแรก
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือระบบการต่อสู้ (combat) เดิมในภาคแรก อาวุธของ Ori คือภูตแสง Sien ที่เป็นอาวุธยิงระยะไกล (แต่วิ่งหาศัตรอัตโนมัติ ไม่ต้องเล็งแบบ Rockman) ทำให้การต่อสู้มักเป็นการยิงจากระยะไกล
ในภาคสองนี้ อาวุธหลักของ Ori เปลี่ยนมาเป็นดาบแสง ที่ต้องสู้ในระยะสั้น (melee combat) ทำให้เกมเพลย์เปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร และยังมีระบบสล็อตอาวุธ (เลือกได้ครั้งละ 3 สล็อต จากอาวุธ 10 กว่าชนิด) ทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้น เพราะเรามีอิสระในการเลือกอาวุธได้มาก (แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันคือ อาวุธบางอย่างผมไม่เคยใช้เลยตลอดทั้งเกม หรืออาวุธบางอย่างใช้เฉพาะช่วงแรกๆ ตามดีไซน์ของเรื่อง)
เกมภาคแรก Ori มีทรัพยากร 3 อย่างคือ ชีวิต (life), พลังงาน (energy) ใช้ฟื้นพลังและสร้างจุดเซฟ และแสง (light) ใช้อัพเกรดความสามารถ
พอมาเป็นภาคสอง แถบพลังชีวิตยังเหมือนเดิม แต่ระบบพลังงานเปลี่ยนไป เพราะไม่ต้องสร้างจุดเซฟเองแล้ว เปลี่ยนมาเป็นระบบเซฟอัตโนมัติแทน ทำให้เกมลื่นไหลขึ้นเพราะตายแล้วไม่ต้องเริ่มใหม่ไกลเพราะลืมเซฟ และไม่ต้องมาห่วงเรื่องเซฟเกมบ่อยๆ (ภาคแรกนี่ ผมเซฟแทบทุกหน้าเหว 555)
ส่วนทรัพยากรแสง ก็เปลี่ยนไปเยอะ เดิมทีภาคแรกใช้ระบบ skill tree อัพเกรดความสามารถ แต่ภาคนี้สะสมแสงในรูปเงินในเกม (currency) ใช้ซื้อความสามารถบางอย่าง (ในเกมเรียก shard) แล้วเอามาสวมใส่ (equip) ตามสล็อตที่มีให้ รูปแบบคล้ายเกม RPG มากขึ้น แสงที่เก็บได้ยังนำไปซื้อไอเทมอื่นๆ ในเกม เช่น แผนที่ได้ด้วย
ตัวเลเวลในเกมยังเป็นเหมือนเดิม คือ เป็นแผนที่ใหญ่ที่เดินต่อกันได้ทั้งหมด ซึ่งสนุกและเพลิดเพลินในแง่ exploration สำรวจฉากและโลกในเกม พัซเซิลในฉากก็มีความแปลกใหม่น่าสนใจดี อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือระบบเควสต์ย่อย (side quest) ที่มีเนื้อเรื่องและภารกิจมากขึ้น มีเป้าหมายคอยไกด์จุดที่ผู้เล่นจะต้องไปต่อได้ดีขึ้น
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาจากภาคแรกคือ มี boss fight แล้ว (เกมภาคแรกไม่มีบอสให้สู้เลย ไคลแม็กซ์เป็นการหนีตายออกจากฉาก) ทำให้เกมสนุกขึ้นอีกเยอะ บอสทำได้อลังการและท้าทายดี ส่วนข้อวิจารณ์คือบอสมีจำนวนน้อยไปหน่อยยังไม่ค่อยอิ่ม และรู้สึกว่าบอสช่วงแรกๆ ยากกว่าบอสตัวหลังๆ อยู่มาก (ยากสุดในความรู้สึก คือ แมงมุมและกบ หลังจากนั้นง่ายหมด)
ความยากของเกมรู้สึกว่าไม่ยากเท่าภาคแรก (อาจเป็นเพราะคุ้นกับการควบคุมและแนวคิดต่างๆ ของเกมแล้ว) ทำให้ไม่ struggle มากนัก ผมใช้เวลาเล่นแบบชิวๆ เก็บโน่นนี่ประมาณ 19 ชั่วโมง ก็จบเกมแบบเก็บของได้เกือบครบ 100%
เนื้อเรื่อง
เป็นจุดอ่อนของ Ori มาตั้งแต่ภาคแรก และภาคนี้ก็ยังเป็นจุดอ่อนอยู่ (บางคนชมว่าเรื่องดีแต่ผมไม่ค่อยชอบ)
ต้องอธิบายว่า Ori เป็นเกมแนวการ์ตูน ที่มีระดับของความดาร์คมากกว่าการ์ตูน Disney/Pixar ทั่วไป นั่นคือ มีมอนสเตอร์น่ากลัว มีตัวละครสำคัญตาย ดังนั้นอาจไม่เหมาะกับเด็กที่เล็กมากๆ สักเท่าไร
แต่ครั้นจะคาดหวังเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนแบบผู้ใหญ่ ก็ดันไปไม่สุดขนาดนั้นอีก จุดยืนของเรื่องเลยกึ่งๆ ว่าตกลงจะดาร์คแค่ไหน เหมือนคิดจะไปดาร์คแต่ก็ไม่สุดทาง ไม่รู้จะคาดหวังระดับของเส้นเรื่องขนาดไหนดี
วิธีเล่าเรื่องในเกมก็ไม่ได้น่าจดจำมากนัก ผมจำชื่อตัวละครในเกมแทบไม่ได้เลย เกมภาคนี้มีระบบหมู่บ้านเป็นที่พักใจปลอดภัย มีตัวละครต่างๆ มาอาศัยอยู่ให้รู้สึกผูกพัน แต่เอาเข้าจริง เรื่องราวของตัวละครก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น และกลายเป็นน่ารำคาญด้วยซ้ำที่ต้องเดินตามหาว่าตัวละครไหนอยู่ตรงไหนในหมู่บ้าน
เนื้อเรื่องของ The Will of the Wisps แบบสรุปๆ คือ ต่อจากภาคแรกที่ Ori ฟื้นฟูป่า Nibel ได้สำเร็จ คืนแสง Sein ให้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไป ก็นำไข่ของ Kuro นกฮูกตัวร้ายของภาคแรกมาเลี้ยงเป็นนกฮูกน้อยชื่อ Ku
ภาคสอง Ori กับ Ku บังเอิญบินข้ามทะเลมาเจอพายุ และไปตกอยู่อีกเกาะชื่อ Niwen เลยต้องมาทำภารกิจฟื้นฟูเกาะแห่งนี้อีกเหมือนกัน โดยต้องรวบรวมภูตแสงของเกาะนี้ชื่อ Seir (ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตั้งชื่อคล้ายๆ กันให้มันสับสน) ที่กระจัดกระจายออกเป็น 5 ซีก (ภูตแต่ละตัวเรียก wisp) ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อเกมนี้ เจตจำนงค์ของภูต The Will of the Wisps
สรุป
เป็นเกม 2D platformer ที่ประทับใจมาก พัฒนาขึ้นจากภาคแรกขึ้นทุกด้าน ข้อดีกล่าวไปหมดแล้ว ใครชอบเล่นเกมแนวนี้ก็แนะนำ ใครที่ชอบภาคแรกก็ไม่ควรพลาดเพราะดีขึ้นจากเดิมมาก เป็นตัวอย่างของภาคต่อที่ดี
ข้อเสียคือเนื้อเรื่องอย่างที่เขียนไปแล้ว และอัตรา replayability ค่อนข้างต่ำ เพราะเล่นจบหมดแล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าเล่นซ้ำอีก
สรุปคะแนนคือ 9/10 หักตรงเนื้อเรื่อง 1 คะแนน