หนังชีวประวัติของ J. Robert Oppenheimer ผู้อำนวยการ Project Manhattan ผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก หนังสร้างและกำกับโดย Christopher Nolan โดยอิงจากหนังสือชีวประวัติของ Oppenheimer ที่ชื่อ American Prometheus
หนังฉายมาตั้งแต่ปี 2023 แต่เพิ่งมาลง Netflix ก็ไม่เป็นไร เราทีมไม่เข้าโรง ดูช้าไปสองปีก็ไม่มีปัญหาอะไร
หนังความยาว 3 ชั่วโมง (180 นาที) พอดีเป๊ะ ถ้าแบ่งได้ง่ายๆ หนังแบ่งออกเป็น 3 องค์
- ชีวิตช่วงแรกของ Oppenheimer ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีฟิสิกส์ หัวฝ่ายซ้าย ตามกระแสโลกในยุคนั้น
- การทำงานภายใต้ Project Manhattan สร้างระเบิดนิวเคลียร์
- ชีวิตหลังสงคราม ที่ต้องปะทะกับฝ่ายการเมือง
หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่างช่วงเวลาต่างๆ และไม่ได้ให้คำอธิบายมากนักว่าใครเป็นใคร มีแรงจูงใจอะไร ผู้ชมจึงอาจมีความสับสนอยู่ไม่น้อย (ซึ่งพอเป็นหนัง Nolan อาจแปลได้ว่าผู้ชมห่วยเองที่ไม่เข้าใจ ไม่ได้แปลว่า Nolan อินดี้เกินไป 555)
สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในหนังองค์แรกคือ ชีวิตของ Oppenheimer ได้พบเจอกับนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังมากมายที่เราเคยเห็นแต่ชื่อในตำราเรียน เช่น Niels Bohr, Werner Heisenberg, Richard Feynman, Enrico Fermi ฯลฯ และยังไม่รวมถึง Albert Einstein ที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง (น่าจะเป็นหนังที่มีตัวละครได้รับรางวัลโนเบล เยอะที่สุดแล้วกระมัง)
ชีวิตของ Oppenheimer ในช่วงแรก ถือเป็น outlier คือสนใจในฟิสิกส์ทฤษฎี แต่ไปอยู่ผิดที่ผิดทาง เพราะอเมริกาและอังกฤษไม่สนใจงานเชิงทฤษฎีมากนัก เขาจึงย้ายไปเรียนต่อในยุโรปซึ่งเป็นผู้นำในเรื่องนี้ และสร้างเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ในยุโรปจำนวนมาก
เมื่อเรียนจบ กลับมาทำงานในอเมริกาฝั่งแคลิฟอร์เนีย Oppenheimer จึงกลายเป็นผู้บุกเบิกวิชาทฤษฎีควอนตัมคนหนึ่ง เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเขาคือ Ernest Lawrence ผู้บุกเบิกเครื่องยิงอานุภาค cyclotron (ภายหลังชื่อของ Lawrence กลายเป็นชื่อศูนย์วิจัยสำคัญของสหรัฐอเมริกา 2 แห่งคือ Lawrence Berkeley และ Lawrence Livermore)
ชีวิตของ Oppenheimer ยังไปพัวพันกับความเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายในอเมริกายุคนั้น ที่เห็นใจฝ่ายสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองสเปน, กระแสพรรคคอมมิวนิสต์ การรวมสหภาพแรงงาน นอกจากนี้ Oppenheimer ยังพัฒนาไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบชีวิตชาวไร่ในรัฐนิวเม็กซิโกที่เวิ้งว้าง ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้จะกลายมาเป็นปัจจัยกำหนดชะตาชีวิตของเขาในอนาคต
องค์ที่สองของเรื่องเป็นจุดพลิกผันของ Oppenheimer ที่มาเจอกับนายพัน Leslie Groves (รับบทโดย Matt Damon)ผู้นำการก่อสร้างตึก Pentagon ในเวลานั้น ซึ่งได้รับมอบหมายมาให้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ภายใต้ Manhattan Project และดึงตัว Oppenheimer มาเป็นผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์
Oppenheimer เลือกเอาพื้นที่ Los Alamos ในนิวเม็กซิโกที่เขาคุ้นเคย สร้างเป็นเมืองใหม่ขึ้นมาชั่วคราว เอานักวิทยาศาสตร์เก่งๆ จากทั่วอเมริกามารวมกัน เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ให้สำเร็จ แม้นักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาร่วมโครงการต่างไม่แน่ใจว่าการนำทักษะของตัวเองมาสร้างอาวุธเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรหรือไม่ (พื้นที่ Los Alamos ตรงนี้กลายเป็นศูนย์วิจัยแห่งชาติ Los Alamos ต่อมาจนถึงปัจจุบัน)
Project Manhattan ประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ โดยการทดสอบระเบิดครั้งแรกมีขึ้นที่กลางทะเลทราย ใช้โค้ดเนมว่า Trinity ซึ่งถือเป็นจุดพีคของเรื่อง (ฉากระเบิด Trinity ทำงานสำเร็จโดยไร้เสียง ถือเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก) หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว หนังไม่ได้ให้เราเห็นการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากิโดยตรง ซึ่งสะท้อนมุมมองของ Oppenheimer และชาว Los Alamos ที่เห็นระเบิดของจริง 2 ลูกถูกขนส่งไป และฟังข่าวการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ของฝ่ายทหารจากวิทยุเท่านั้น
ตรงนี้มีเกร็ดเล็กๆ ว่า ช่วงเวลาระหว่างการจุดระเบิดทดสอบ Trinity (16 กรกฎาคม) และระเบิดจริง Little Boy (6 สิงหาคม) ห่างกันเพียง 20 วันเท่านั้น ตอนเราอ่านประวัติศาสตร์อาจรู้สึกว่ามันห่างไกลกัน แต่จริงๆ แล้วมันใช้เวลาสั้นมาก
หนังในองค์ที่ 2 ยังวางปมความขัดแย้งระหว่าง Oppenheimer กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ Edward Teller (รับบทโดย Josh Hartnett พระเอก Pearl Habour) ที่อยากพัฒนาระเบิดไฮโดรเจน (H-bomb) ซึ่งใช้เทคนิคด้านนิวเคลียร์ฟิวชั่น (โค้ดเนมที่เอ่ยถึงในหนังคือ Super) ต่อ แต่ Oppenheimer กลับไม่เห็นด้วยและอยากให้ยกเลิก Los Alamos ไปเลยหลังสงคราม (Teller และอเมริกาพัฒนา H-bomb สำเร็จในเวลาต่อมาคือปี 1952 แต่ไม่เคยถูกใช้จริง)
ปมตรงนี้นำมาสู่องค์ที่ 3 ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่าง Oppenheimer กับนายพล Lewis Strauss (รับบทโดย Robert Downey Jr.) ที่เป็นประธานของ Atomic Energy Commission (AEC) หน่วยงานด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐที่ตั้งขึ้นหลังสงครามโลก
ตัวของ Oppenheimer ไม่อยากให้พัฒนาระเบิด H-bomb ต่อ และมองว่าควรควบคุมนิวเคลียร์มากกว่า เพราะไม่อยากให้ชาติมหาอำนาจหลังสงครามแข่งกันสะสมอาวุธ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ขัดแย้งกับนักการเมืองในยุคนั้นที่ต้องแข่งพัฒนาอาวุธกับโซเวียต เขาจึงลาออกจาก Los Alamos ในปี 1945
ในปี 1947 Oppenheimer ได้รับข้อเสนอจาก Strauss ให้ไปเป็นผู้อำนวยการสถาบัน Institute for Advanced Study ที่ Princeton (ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของ Einstein หลังย้ายมาอยู่ในสหรัฐด้วย) แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองคนขัดแย้งกัน
พอถึงปี 1949 Oppenheimer เริ่มถูกสอบสวนในข้อหาคอมมิวนิสต์ จากประวัติเก่าของเขาที่เคยเห็นใจคอมมิวนิสต์, ภรรยา Kitty และน้องชาย Frank เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกา ความตึงเครียดพุ่งสูงในปี 1953 เมื่อ Oppenheimer ถูกไต่สวนอย่างหนัก โดยมี Strauss อยู่เบื้องหลังจากความแค้นเก่าก่อน
หนังองค์ที่ 3 แสดงให้เห็นการต่อสู้ของ Oppenheimer ทั้งศัตรูภายนอกและความกดดันภายในจิตใจของเขาเอง ก่อนจบลงด้วยพล็อต “กรรมตามสนอง” เมื่อ Strauss เตรียมเข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีในปี 1959 แต่ถูกเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ David L. Hill มาแฉว่า Strauss อยู่เบื้องหลังการโจมตี Oppenheimer ด้วยความแค้นส่วนตัว และส่งผลให้วุฒิสภาไม่โหวตให้เขาได้เป็นรัฐมนตรี
ฉากที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง คือการเผชิญหน้ากันของ Oppenheimer กับประธานาธิบดี Harry Truman เพื่อรับเกียรติยศและคำชมจากประธานาธิบดี แต่เมื่อ Oppenheimer แสดงความกังวล ความรู้สึกผิดในการสร้างระเบิด คำตอบของ Truman บอกว่าโลกไม่จดจำหรอกว่าใครเป็นคนสร้างระเบิด ฆ่าคนไปเป็นแสนๆ แต่โลกจดจำคนที่ทิ้งระเบิดต่างหาก ซึ่งก็คือตัวของ Truman เอง ก่อนบอกผู้ช่วยให้เอา crybaby คนนี้ออกไปซะ (แสดงให้เห็นว่าจิตใจของ Truman ที่ผ่านสงครามโลกมา แข็งแกร่งเพียงใด)
ภาพรวมแล้วคิดว่าหนังเล่าเรื่องชีวิตของ Oppenheimer ที่มีหลากหลายด้าน หลายมิติ ไม่ได้มีแต่เรื่อง Project Manhattan เพียงอย่างเดียว วิธีการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพทำได้ดี แม้หนังเองไม่ได้มีแอคชั่นอะไรมากนักแต่ก็ยังน่าติดตามตลอด นักแสดงนำอย่าง Cillian Murphy และ Robert Downey Jr. ก็แสดงได้ยอดเยี่ยม สมราคารางวัลออสการ์
เพียงแต่วิธีการเล่าเรื่องของ Nolan ไม่ได้เอาใจคนดูที่ไม่มีพื้นประวัติชีวิตของ Oppenheimer สักเท่าไรนัก จึงแทบไม่มีการปูพื้นใดๆ ว่าเพื่อนนักวิทยาศาสตร์แต่ละคนคือใคร มีความสำคัญอย่างไร รวมถึงศัตรูทางการเมืองของ Oppenheimer ในชีวิตหลังสงครามด้วย หักคะแนนตรงนี้หน่อย
ให้คะแนน 9/10