หนังใหญ่ลำดับที่ 15 ของ One Piece ฉายในโรงตั้งแต่ปี 2022 แต่เพิ่งมาฉายใน Netflix เลยมีโอกาสได้ดู
Film Red เป็นหนังภาคที่ 4 ของซีรีส์ One Piece Film (มีคำว่า Film อยู่ในชื่อเรื่อง) ที่ อ.โอดะ เข้ามามีบทบาทในการแต่งโครงเรื่อง-ดีไซน์ตัวละคร โดย 3 ภาคก่อนหน้านี้คือ Strong World (2009), Z (2012), Gold (2016)
แม้ว่าเนื้อเรื่องในภาคหนังไม่ได้เป็น canon กับเนื้อเรื่องหลักของมังงะ แต่การที่ได้ อ.โอดะ เข้ามาแต่งเรื่อง และเพิ่มตัวละครออริจินัลของภาคนั้นๆ ให้เอง ก็ถือว่าตัวละครนั้นเป็น canon ในจักรวาลของเรื่องด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Shiki ของภาค Gold
กรณีของ Red ถือว่าพิเศษจากเดิม เพราะ อ.โอดะ ไปไกลกว่าการแต่งโครงเรื่องเหมือนที่แล้วๆ มา ถึงขั้นเข้ามาเขียนสคริปต์ และมีเครดิตชื่อเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังด้วย เรียกว่าเข้ามาดันกันสุดตัว
ตัวละครออริจินัลของภาค Red คือ Uta นักร้องสาวที่มีฉายา “ลูกสาวของแชงคูส” และเคยเป็นเพื่อนสมัยเด็กของลูฟี่ ภายหลังเธอย้ายไปอยู่เกาะแห่งดนตรี Elegia ผันตัวมาเป็นนักร้องที่ไลฟ์สตรีมผ่านแมลงสื่อสารไปทั่วโลก (เหมือนกับ YouTuber ยุคปัจจุบัน) จนกลายเป็นนักร้องชื่อดัง แต่ก็มีบาดแผลในใจกับกลุ่มโจรสลัดผมแดงของแชงคูส ทำให้เธอใช้พลังจากผล Sing-Sing สร้างโลกแห่งดนตรี ดึงคนเกือบทั่วโลกเข้ามาอยู่ในความฝันของเธอ เพื่อเป้าหมายให้เกิดสันติภาพตลอดกาล
ถ้าเรียกเป็นชื่อภาคแบบ Doraemon ก็คงต้องเรียกเป็น “ลูฟี่กับดินแดนเสียงเพลงแห่งความฝัน” อะไรเทือกนั้น น่าจะเป็นคำนิยามที่ดี
ครึ่งเรื่องแรกเป็นการปูพื้นโลกดนตรีของ Uta แบบงงๆ อยู่พอสมควร เพราะจู่ๆ หนังเริ่มด้วยการที่กลุ่มหมวกฟาง และตัวละครดังๆ จากฝ่ายอื่น (เช่น ทราฟัลการ์ลอว์, โคบี้แห่งกองทัพเรือ, บางส่วนของกลุ่มบิ๊กมัม) เข้ามาดูคอนเสิร์ตของ Uta ที่เกาะ Elegia แบบไม่มีที่มาที่ไป และพบว่า Uta มีพลังพิเศษแปลกๆ ที่ควบคุมสภาพแวดล้อมของโลกดนตรีได้ดั่งใจ
ก่อนที่หนังมาเฉลยตอนกลางเรื่องว่า ทุกคนอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ Uta สร้างขึ้น จึงอธิบายว่าทำไมเธอถึงควบคุมได้ทุกอย่าง ช่วงครึ่งหลังของเรื่องเป็นฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาเอาใจแฟนๆ คือเป็นการฟีเจอริ่ง (แบบข้ามโลกจริง-โลกความฝัน) ระหว่างกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง และโจรสลัดผมแดง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเนื้อเรื่องหลักฉบับมังงะ) ฉากต่อสู้แบบ all-star ลักษณะนี้เคยเกิดมาแล้วกับภาค Stampede แน่นอนว่าแฟนๆ ก็ฟิน เห็นตัวละครเด่นๆ มาต่อสู้ร่วมกัน เหมือนกับดูวิดีโอเกม
ภาพรวมของหนังรู้สึกว่ากลางๆ ช่วงแรกน่าเบื่อพอสมควร ชีวิตของอูตะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล (ขนาด อ.โอดะ มาแต่งเรื่องเองนะเนี่ย) แต่ช่วงหลังก็เอ็นเตอร์เทนแฟนๆ ได้ตามความคาดหวัง งานภาพทำสวยสมราคาภาคหนัง เพลงประกอบเรื่องก็เพราะดี
เกร็ดอื่นๆ
- ผู้กำกับหนังภาคนี้คือ Gorō Taniguchi ที่แต่งเรื่อง สร้างและกำกับ Code Geass มาก่อน (ทั้งภาคทีวีและหนัง) เขาเคยกำกับ One Piece: Take Down! The Pirate Ganzak! ซึ่งเป็นอนิเมะวันพีซภาคแรกสุดในปี 1998 (ก่อนฉบับทีวีซีรีส์ด้วยซ้ำ) และได้รีเทิร์นกลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องของ อ.โอดะ
- คนร้องเพลงให้ Uta คือ Ado นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นวัย 21 ปี เน็ตไอดอลที่ไม่เปิดเผยใบหน้าใดๆ แม้ตอนไปร้องเพลงคอนเสิร์ตก็ตาม