Moneyball หนังปี 2011 เรื่องทีมเบสบอลรองบ่อน Oakland Athletics ที่มีเงินน้อย งบประมาณจำกัดจำเขี่ย แต่สามารถสร้างสรรค์วิธีการจัดการทีมแบบใหม่ ใช้ผู้เล่นราคาถูก ค่าจ้างต่ำ สร้างผลงานที่โดดเด่นในลีก MLB ได้ (สถิติชนะติดกัน 20 เกมในปี 2002 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของลีก MLB)
หนังถูกดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อเดียวกัน Moneyball: The Art of Winning an Unfair Game ที่เขียนโดยนักข่าว Michael Lewis เล่าเรื่องการทำงานของ Billy Beane ผู้จัดการใหญ่ของทีม Athletics (ชื่อเล่นเรียกกัน Oakland A’s) ที่รับบทในหนังโดย Brad Pitt
โครงใหญ่ของหนังคือ Billy Beane พลิกฟื้นทีมได้อย่างไร โดยใช้การวิเคราะห์สถิติของผู้เล่นอย่างละเอียดมาช่วย ร่วมกับผู้ช่วยของเขาคือ Peter Brand ที่รับบทโดย Jonah Hill (เพิ่งดู The Wolf of Wall Street ที่เขาเล่นไปเมื่อเร็วๆ นี้)
คลิปสัมภาษณ์ Billy Beane ตัวจริง
ส่วนพล็อตรองเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวของ Beane ที่เป็นอดีตนักกีฬาเบสบอลดาวรุ่งยุคก่อน ทิ้งชีวิตสดใสกับการเป็นนักศึกษา Stanford มาเป็นนักเบสบอล แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักกีฬา รวมถึงแยกทางกับภรรยา และต้องแบ่งเวลากันดูแลลูกสาว (ในชีวิตจริงคือภายหลังเขาแต่งงานใหม่) การเดินเรื่องจึงเป็นมุมมองของ Beane ต่อชีวิตของตัวเองในอดีตที่บีบคั้น และสภาพของทีมในปัจจุบันที่ย่ำแย่ เขาจึงต้องเอาชนะอุปสรรคทั้งสองอย่างไปพร้อมกันในที่สุด
ภาพรวมของหนังคือสนุก (เราชอบหนังแนวๆ วางแผนลักษณะนี้อยู่แล้ว) การเชื่อมพล็อตหลักกับพล็อตรองทำออกมาได้แนบเนียน มีการ dramatize ให้ดูน่าติดตามมากขึ้น การดูหนังให้เข้าใจต้องพอรู้บริบทของวงการเบสบอลบ้างนิดหน่อย
ดูจบแล้วอยากไปดูเบสบอล MLB ในสนามจริงบ้างสักครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนไปอเมริกาเคยพยายามลองหาโอกาสดู แต่ส่วนใหญ่คือไปไม่ตรงกับวันที่แข่ง เลยพลาดมาโดยตลอด
เกร็ดอื่นๆ ของหนัง
- ทุกวันนี้ Billy Beane ยังอยู่กับทีม Oakland Athletics และทีมก็ยังไม่สามารถไปถึงแชมป์ MLB ได้ (แม้ทำผลงานได้ดีกว่าเดิม)
- ทีม Oakland Athletics ในอดีตก็เคยรุ่งเรือง และได้แชมป์สูงสุด World Series ครั้งสุดท้ายในปี 1989
- คนที่เล่นเป็น Stephen Schott เจ้าของทีม Oakland คือ Bobby Kotick ซีอีโอของบริษัทเกม Activision Blizzard เนื่องจากเขียนข่าวของพี่แกมาเยอะ ตอนเห็นในหนังก็จำหน้าได้อยู่แล้ว เอ๊ะๆๆๆ พอมาเปิดดูรายชื่อก็ใช่จริงๆ
- Peter Brand เป็นคาแรกเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยบุคคลตัวจริงคือ Paul DePodesta ที่ไม่อยากให้ใช้ชื่อของเขาในหนัง ตัวจริงของ DePodesta ไม่ได้สนใจแต่เบสบอล เพราะเขาสนใจกีฬาอื่น เช่น อเมริกันฟุตบอลด้วย เขาออกจากทีม Oakland ในปี 2004 (2 ปีหลังจากเหตุการณ์ในหนัง) ไปเป็นผู้จัดการทีม Los Angeles Dodgers จากนั้นก็ย้ายทีมอีกหลายครั้ง ปัจจุบันทำงานกับทีมอเมริกันฟุตบอล Cleveland Browns
- ในหนังมีฉากที่ Peter Brand ถูกเรียก (แบบเหยียดๆ) ว่า Google Boy ซึ่งเป็นคำที่ DePodesta ถูกเรียกจริงๆ
- วิธีการวิเคราะห์ตัวผู้เล่นแบบในหนัง เรียกว่า Sabermetrics ถูกคิดค้นโดย Bill James นักสถิติด้านเบสบอลในช่วงปี 1977 (แต่มีรากเหง้ามาก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว) และชื่อของเขาถูกพูดถึงในหนังด้วยนิดหน่อย
- ตอนท้ายเรื่อง Billy Beane ถูกเชิญไปยังสนามของทีม Boston Red Sox เพราะเจ้าของทีมคนปัจจุบัน John W. Henry อยากจ้างมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ถ้าใครคุ้นเคยกับวงการฟุตบอล เขาคือเจ้าของทีม Liverpool ด้วยเช่นกัน (ผ่านบริษัท Fenway Sports Group ซึ่งเอาชื่อมาจากสนาม Fenway Park ของทีม Boston Red Sox)
- ถ้านับจากความสำเร็จในการเป็นแชมป์ World Series (เริ่มจัดแข่งปี 1903) ทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคือ New York Yankees เป็นแชมป์ 27 ครั้ง, อันดับสอง St. Louis Cardinals 11 ครั้ง, อันดับสาม Oakland Athletics และ Boston Red Sox เท่ากัน 9 ครั้ง
- หลังจากเหตุการณ์ในหนัง Red Sox ได้แชมป์เพิ่มอีก 4 สมัย (2004, 2007, 2013, 2018)
- Art Howe โค้ชของทีม Oakland (แสดงโดย Philip Seymour Hoffman) ที่บ่นว่าได้ต่อสัญญาเพียงปีเดียว ก็ออกจากทีมในปีนั้น (2002) ย้ายไปคุมทีม New York Mets ต่ออีก 2 ปี (2003-2004) แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน หลังจากนั้นไม่ได้เป็นโค้ชใหญ่ของทีมไหนต่อ มีรับบทเป็นโค้ชผู้ช่วยอยู่บ้าง
- Scott Hatteberg ผู้ตีโฮมรันในชัยชนะนัดที่ 20 (แสดงโดยสตาร์ลอร์ด Chris Pratt) เริ่มอาชีพเบสบอลกับ Boston Red Sox ในปี 1995 โดยเป็นแคชเชอร์มาตลอด เขายังเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ MLB ที่สามารถทำ triple play (เอาฝ่ายตรงข้ามออก 3 เบสในรอบเดียว) แล้วตาถัดมาทำ grand slam (ตีโฮมรันโดยมีผู้เล่นฝ่ายเรายืนอยู่ครบ 3 เบส ได้แต้มรวม 4 แต้ม)
- แต่เมื่อเจอปัญหาบาดเจ็บในปี 2001 แล้วย้ายมาเล่นกับ Oakland ในปี 2002 (ตอนนั้นอายุ 33 ปี) ในตำแหน่งเบสหนึ่ง แล้วมาสร้างตำนานอีกรอบคือตีโฮมรันเพื่อเอาชนะ 20 เกมติดต่อกันได้ เขาเล่นกับ Oakland จนถึงปี 2006 แล้วย้ายทีม จากนั้นเกษียณตัวเองจากเบสบอลในปี 2008
- Jason Giambi นักเบสบอลที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาในเรื่อง (เขาไม่ได้โผล่มาในหนัง แต่ถูกพูดถึงตลอด) เป็นดาวเด่นของ Oakland มาตั้งแต่ปี 1995 โดยเล่นตำแหน่งเบสหนึ่ง ก่อนย้ายไปอยู่กับ New York Yankees ด้วยสัญญามูลค่า 120 ล้านดอลลาร์ (ทำให้ Beane ต้องเอา Hatteberg มาแทน) แต่การเล่นให้ Yankees ช่วงแรกๆ กลับไม่ประสบความสำเร็จนัก กว่าฟอร์มจะมาต้องราวปี 2003 เลย เขายังได้ย้ายกลับมาเล่นกับ Oakland สั้นๆ ประมาณครึ่งปีในปี 2009
- Jeremy Giambi น้องชายของ Jason ที่เป็นตัวปัญหาในเรื่อง เซ็นเข้ามากับ Oakland ในปี 2002 แต่อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ถูกเทรดออก เล่นลีกใหญ่ถึงแค่ปี 2005 เท่านั้น จากนั้นต้องไปเล่นกับลีกรอง เขาเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2022
- เพลงที่ใช้เป็นไคลแมกซ์ของเรื่องคือ The Show ของ Lenka ซึ่งลูกสาวของ Billy Beane ร้องให้เขาฟังในเรื่อง เพลงนี้ออกเผยแพร่เมื่อปี 2008 และใช้ในหนังปี 2011 ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องเกิดปี 2002 ยังไม่มีเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมา
- ถึงแม้เป็นหนังเกี่ยวกับทีมเบสบอล Oakland Athletics แต่การถ่ายทำส่วนใหญ่ใช้สนาม Dodger Stadium ของทีม L.A. Dodger และสนาม Blair Field ทางใต้ของ L.A. เช่นกัน ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ (สตูดิโอหนังอยู่กันที่ L.A.) มีใช้สนาม Oakland Coliseum ของทีม Oakland มาเสริมบ้างเท่านั้น