Mario Balotelli น่าจะเป็นนักเตะตำแหน่งกองหน้าที่ high profile เป็นอันดับต้นๆ ในช่วงปี 2010 บวกลบ ด้วยทั้งคาแรกเตอร์ส่วนบุคคลที่โดดเด่น ประวัติการเตะกับสโมสรใหญ่ๆ ของยุโรป (อยู่ทั้งอินเตอร์มิลาน แมนเชสเตอร์ซิตี้ เอซีมิลาน ลิเวอร์พูล)
จุดสูงสุดในอาชีพของเขาน่าจะเป็นการยิงเยอรมนี 2 ลูก ในเกมรอบเซมิไฟนัล Euro 2012 ฉากถอดเสื้อเบ่งกล้ามกลายเป็นมีมที่น่าจดจำ (ก่อนที่อิตาลีไปแพ้สเปนยุคทองในรอบชิงชนะเลิศ 4-0)
แต่หลังจากช่วงนั้นมา ชื่อของ Balotelli ก็ค่อยๆ เงียบหายไป ปัญหาของเขาเกิดจากนิสัยใจคอ การขาดระเบียบวินัย และพฤติกรรมนอกสนาม ที่ผู้จัดการทีมต่างก็บอกว่า “จัดการได้ยาก”
Balotelli ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2014-2015 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ (ยิงได้ลีกได้ลูกเดียว) ปีต่อมาย้ายกลับมิลานแบบยืมตัวก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก ปี 2016-2017 เขาย้ายไปเล่นในฝรั่งเศสกับนีซ และประสบความสำเร็จพอสมควรใน 2 ฤดูกาลแรก
ปี 2019-2020 เขากลับอิตาลี อยู่กับ เบรสชาใน Series A แต่ทีมตกชั้น เขาไม่ได้ต่อสัญญาเพราะไม่ค่อยมาซ้อม ทำให้ซีซัน 2020-2021 เขากลายเป็นนักเตะไม่มีสังกัดอยู่ครึ่งปี ต้องไปซ้อมกับทีม Series D ไปพลางๆ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ Monza ใน Series B แบบสัญญาชั่วคราว 7 เดือน
ความรู้ใหม่คือ Silvio Berlusconi อดีตเจ้าของทีมเอซีมิลาน และอดีตนายกอิตาลีผู้อื้อฉาว ตอนนี้กลายมาเป็นเจ้าของทีม Monza โดยดึงอดีตทีมงานของมิลานเดิมมาอยู่ด้วยหลายคน
Monza หลัง Berlusconi เข้ามาเทคโอเวอร์ก็ทำผลงานได้ค่อนข้างดี เลื่อนชั้นจาก Series C ขึ้นมา แถมจบซีซันด้วยอันดับ 3 แต่แพ้ play-off เลยยังไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมา Series A ได้ ปีหน้าต้องเตะต่อใน Series B ต่อไป
Balotelli ยิงให้กับ Monza ได้ 5 ประตูใน 12 นัด ถือเป็นการกลับมาที่ใช้ได้ แต่ถ้าดูในภาพรวมแล้ว นักเตะที่เคยรุ่งเรืองแบบเขา (คว้าแชมป์ Series A กับอินเตอร์ 3 รอบ, ได้ UCL กับอินเตอร์ 1 ครั้ง แต่นัดชิงไม่ได้ลง, แชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนซิตี้, รองแชมป์ยูโร 2012) จะชีวิตตกต่ำลง คงโทษใครอื่นไม่ได้นอกจากตัวเองล้วนๆ
ในเว็บไซต์ Goal.com ภาคภาษาอังกฤษ มีบทความชุด Forgotten Men เล่าถึงนักฟุตบอลที่เคยชื่อดัง (ประมาณนึง) แต่ก็เจออุปสรรคต่างๆ หลากหลายจนชื่อหายสาบสูญไป
หนึ่งในนักฟุตบอลที่ high profile ที่สุดในซีรีส์นี้คงหนีไม่พ้น Balotelli นี่ล่ะ
