Warren Buffett ออกมาพูดเรื่อง Bitcoin (และ Cryptocurrency ในภาพรวม) ในแบบที่ยาวที่สุดเท่าที่ปู่น่าจะเคยพูดมา ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway เมื่อคืนนี้
อ่านแต่ข่าวและเขียนเป็นข่าวไปเรียบร้อยแล้ว แต่คิดว่าควรหาคลิปมาดูแบบเต็มๆ ด้วยว่าปู่ Buffett พูดว่าอะไรบ้าง
แถมคลิปของ Charlie Munger ด้วย
วิธีการเปรียบเทียบของ Buffett น่าสนใจมาก เพราะปู่บอกว่าถ้ามีคนมาเสนอขายที่ดินทำฟาร์ม หรือ อพาร์ทเมนต์จำนวน 1% ของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์ จะเซ็นเช็คให้เดี๋ยวนี้เลย
แต่ถ้าเอา Bitcoin ทั้งโลกมาขายในราคา 25 ดอลลาร์ ก็ไม่ซื้อหรอก
“If you said… for a 1% interest in all the farmland in the United States, pay our group $25 billion, I’ll write you a check this afternoon, For $25 billion I now own 1% of the farmland.
If you offer me 1% of all the apartment houses in the country and you want another $25 billion, I’ll write you a check, it’s very simple.
Now if you told me you own all of the bitcoin in the world and you offered it to me for $25 I wouldn’t take it because what would I do with it? I’d have to sell it back to you one way or another. It isn’t going to do anything.
Buffett ให้เหตุผลว่า ทรัพย์สินอย่างที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้น ก่อให้เกิดผลิตภาพ (productivity) บางอย่างขึ้น แต่เงินคริปโตนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผลิตภาพใดๆ
The apartments are going to produce rent and the farms are going to produce food.”
“Whether it goes up or down in the next year, or five or 10 years, I don’t know. But the one thing I’m pretty sure of is that it doesn’t produce anything
ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่าง ระบบเศรษฐกิจจริง (real sector) กับ ระบบเศรษฐกิจจากภาคการเงิน (financial sector) เป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้ว
ลองดูใน ปาถกฐาของ อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ในงานสัมมนาของประชาชาติ
แบ่งกลุ่มผู้เสียภาษีเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรก กลุ่ม ก. เป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้หลักเพียงเงินเดือน และ กลุ่ม ข. มนุษย์ทรัพย์สิน มั่งคั่งมีทรัพย์สินมาก มีรายได้หลายประเภท อาจจะเป็นค่าเช่า ดอกเบี้ยเงินปันผล กำไรจากการเล่นหุ้น กำไรจากการลงทุนต่างประเทศ
ทรัพย์สินระดับพื้นฐานที่จับต้องได้แบบที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์แบบที่ Buffett ว่ามา มี feedback loop กับเศรษฐกิจจริงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ทรัพย์สินที่ซับซ้อนขึ้นกว่านั้นอย่างหุ้น อาจไม่ได้มีผลตอบแทนตรงไปตรงมาจากค่าเช่า และมีส่วนที่เก็งกำไร (speculative) มากกว่ามาก แต่ก็ยังมีส่วนของเงินปันผลที่โยงกับเศรษฐกิจจริง
เราจะเห็นว่าทรัพย์สินที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ (derivatives) อย่างการทำ credit default swap (CDS) ที่อิงจากทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่สร้างเลเยอร์ซ้อนมันขึ้นไปเรื่อยๆ จนเหลือความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงน้อยลงมาก เหลือแต่การเก็งกำไรเป็นหลัก ก็เป็นเหตุผลสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2007 นั่นเอง
การมาถึงของทรัพย์สินเสมือน (virtual asset) ที่ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับเศรษฐกิจจริงเลยแม้แต่น้อย จึงเป็นการปั่นล้วนๆ (holders rely on somebody else being willing to pay more for it than they did) แบบที่ Buffett บอกไว้
คลิปและภาพจาก CNBC