หลังจากล้มเหลวมากๆ กับ Pixel 4 กูเกิลก็เหมือนจะคิดได้ว่า ที่ทางที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่ตรงไหน และออก Pixel 4a ที่ดีมากๆ ออกมา
อ่านรีวิวฝรั่งมาหลายเจ้า ชอบการพาดหัวของเจ้านี้ที่สุด “a formula Google should remember”
ความดีงามของ Pixel 4a คือการเลือกเซ็ตของฟีเจอร์ให้เหมาะสมกับราคา 349 ดอลลาร์ ซึ่งถูกลงจาก Pixel 3a (ซึ่งเป็นมือถือที่ดีมากๆ อยู่แล้ว) ที่เปิดตัวในราคา 399 ดอลลาร์
เหมือนกูเกิลรู้ตัวแล้วว่า การลงไปลุยในสงครามมือถือเรือธง ที่เน้นอัดฟีเจอร์ฮาร์ดแวร์แพงๆ มาสู้กัน คงไม่ใช่แนวทางของตัวเอง และรู้ว่าตลาดมือถือระดับกลางที่เปี่ยมล้นไปด้วยมือถือแบรนด์จีนเน้นสเปก ก็ยังเหลือช่องว่างบางอย่างให้เล่นได้ (และอาจมีแต่กูเกิลเท่านั้นที่เล่นได้)
การตั้งราคา 349 ดอลลาร์ แปลว่าเราสามารถเลือกฟีเจอร์ได้เพียงบางอย่างเท่านั้น ความน่าสนใจของ Pixel 4a จึงเป็นการเลือกฟีเจอร์บางอย่างที่สำคัญจริงๆ แล้วสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ ได้
ในราคานี้ เราได้
- SoC ระดับกลางๆ (Snapdragon 730) และแรมระดับกลางๆ (6GB)
- หน้าจอระดับกลางๆ แบตเตอรี่ระดับกลางๆ แต่พัฒนาขึ้นจาก Pixel 4
- สตอเรจขนาดที่ถือว่าค่อนข้างดี (128GB)
- กล้องหลังตัวเดียว แต่เป็นกล้องหลังระดับเทพที่ optimize ซอฟต์แวร์มาแล้ว แถมได้ฟีเจอร์ระดับสูงเหมือน Pixel ตัวแพงทุกอย่าง
- ฟีเจอร์ที่ต้องมี แต่ไม่หวือหวา อย่างตัวสแกนลายนิ้วมือด้านหลัง (ถูกกว่าแบบใต้จอ) แทนการสแกนหน้าที่อาจเฟี้ยวฟ้าว แต่ไม่เสถียรเท่า และแพงกว่า หรือ การชาร์จเร็วแบบกลางๆ (18W แถมสายชาร์จ) แทนการชาร์จไร้สาย
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. (ที่ไม่รู้ว่าจะตัดทิ้งไปทำไม)
- ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุด ที่การันตีอัพเดต 3 ปี และอัพเดตแพตช์ทุกเดือน เร็วกว่าใคร
จะเห็นว่ากูเกิลเลือกใช้สูตร สเปกหลักระดับกลางๆ + ฟีเจอร์ฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น (เช่น สแกนนิ้ว ชาร์จเร็ว) + ความแตกต่างด้านซอฟต์แวร์ (กล้อง+OS) โดยตัดฟีเจอร์แฟนซีบางอย่าง (เช่น ชาร์จไร้สาย, กันน้ำแบบมีเรตติ้ง, 5G) ออกไปเพื่อลดต้นทุน
นอกจากนี้เรายังเห็นการลดต้นทุนด้านสต๊อก ด้วยการลด SKU ให้เรียบง่ายที่สุด มันมีให้เลือกขนาดหน้าจอเดียว (ไม่มีแยกรุ่น XL) มีสีเดียว (สีดำพอ เพราะอยากได้สีสวยๆ ก็ใส่เคสเอาละกัน) และความจุเดียว (128GB)
รีวิวของเว็บไซต์ Android Police พาดหัวไว้ดีว่า “All the phone you need, none of what you don’t”
ด้วยสูตรหรือแพ็กเกจแบบนี้ พอสามารถกดราคามันลงมาได้ที่ 349 ดอลลาร์ มันจึงกลายเป็นมือถือที่เซ็กซี่ขึ้นมาทันทีในระดับราคานี้ (iPhone SE ที่ใช้สูตรคล้ายๆ กันของฝั่งแอปเปิล เริ่มที่ 399 ดอลลาร์ แถมได้ฟีเจอร์ฮาร์ดแวร์หลายอย่างด้อยกว่า)
ผมคิดว่าในยุคที่มือถือเรือธงเริ่ม “เฝือ” คือไม่รู้จะยัดอะไรเข้ามาเพื่อสร้างความแตกต่างได้อีกมากนัก (ซึ่งกูเกิลเองก็ล้มเหลวกับ Pixel 4) แพ็กเกจของ Pixel 4a ที่ลงตัวในเรื่องราคาต่อประสิทธิภาพ จึงกลายเป็นมือถือในอุดมคติหรือ Ideal Phone (แม้จะไม่ถึงขั้น Perfect Phone) ในปี 2020 ที่เศรษฐกิจย่ำแย่
ถ้ามีสิ่งที่อยากให้กูเกิลเพิ่มใน Pixel 5a ของปีหน้า คงเป็นการอัพเกรดกล้องหลังให้เพิ่มกล้อง ultrawide เข้ามาอีกสักตัว (ได้ zoom มาด้วยก็ดี แต่คิดว่า ultrawide สำคัญกว่า ได้ใช้บ่อยกว่ามาก)