หนึ่งในเกมคาใจของชีวิตที่เล่นไม่จบคือ Grim Fandango เกมผจญภัย 3D เกมเดียวของค่าย LucasArts (เพราะออกแล้วเจ๊ง หลังจากนั้นเลิกทำเกมผจญภัยไปเลย)
เกมออกขายครั้งแรกในปี 1998 และสร้างเสียงฮือฮาไม่น้อยในยุคนั้นด้วยกราฟิกที่แปลกใหม่จากเดิม แถมมีสไตล์การนำเสนอที่น่าสนใจเพราะใช้ “กระดูก” จากเทศกาล Day of the Dead ของเม็กซิโก (ก่อนหน้าการ์ตูน Coco หรือ James Bond ภาค Spectre เป็นสิบๆ ปี)
ในยุค 1998 ซื้อมาเล่นด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยความอ่อนด้อยเรื่องภาษา บวกกับความยากของตัวเกมด้วย (ปริศนาแบบอิหยังวะมากๆ) เลยเล่นไม่จบ และเป็นความคาใจมานานกว่า 20 ปี
แต่เมื่อปี 2014 เกมผจญภัยของ LucasArts ถูกนำกลับมารีมาสเตอร์อีกครั้ง ด้วยฝีมือของ Double Fine Studio บริษัทใหม่ของ Tim Schafer ผู้กำกับเกมนี้ เลยมีโอกาสได้ซื้ออีกรอบ และฮึดนั่งเล่นจนจบสักทีในปี 2021 (ใช้เวลารวม 23 ปี อาเมน)
เนื้อเรื่องของ Grim Fandango คือในโลกหลังความตาย Land of the Dead คนที่ตายแล้วจะต้องเดินทางไปสู่ดินแดนสุดท้าย (Land of Eternal Rest หรือ Ninth Underworld) ด้วยวิธีการต่างๆ ตามแต่กรรมดีของแต่ละคนทำไว้ก่อนตาย ถ้ากรรมดีเยอะหน่อยก็นั่งรถด่วนความเร็วสูง Number Nine ไปแบบสบายๆ แต่ถ้าทำดีไว้น้อย ก็ต้องเดินเท้าไปซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี
พระเอกของเราคือ Manuel Calavera หรือ “Manny” (Calavera แปลว่ากระดูกในภาษาสเปน) เป็นตัวแทน (travel agent) ของกระทรวงความตาย (Department of Death) ที่คอยจัดสรร “ตั๋วเดินทาง” ให้กับคนตายที่เข้ามาใหม่
ปัญหาคือคนตายที่เขาได้รับมอบหมายมา มักเป็นคนตายเกรดต่ำ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของเขา Domino มักได้คนตายเกรดดีๆ ทำผลงานได้ดีกว่าเสมอ และมาข่มเหงเหยียดหยามเขาอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่ง Manny สามารถแย่ง “ลูกค้า” มาจาก Domino ได้สำเร็จหนึ่งคนคือ Meche นางเอกของเรื่อง ทำให้ Manny ค้นพบว่ามีขบวนการคอร์รัปชั่นโกงตั๋วคนตายซ่อนอยู่เบื้องหลัง Department of Death แต่การเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งๆ เหล่านี้ ทำให้ Manny ต้องชีวิตหักเห เดินทางออกไปสู่เส้นทางไป Ninth Underworld นานถึง 4 ปี
เกมแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 4 องค์ โดยแต่ละองค์ห่างกัน 4 ปี แต่เหตุการณ์เกิดในวันเดียวกันคือ วันคืนวิญญาณที่อนุญาตให้คนตายกลับไปเยี่ยมโลกคนเป็นได้ (Day of the Death) โดยเหตุการณ์แต่ละองค์ Manny อยู่ในสถานที่แตกต่างกันไป
- Year 1 – อยู่ในเมืองหลัก El Marrow ที่ตั้งของกระทรวงความตาย
- Year 2 – เมืองท่าริมทะเล Rubacava
- Year 3 – เหมืองริมขอบโลก Edge of the World
- Year 4 – ทางเข้า Ninth Underworld และกลับมา El Marrow อีกครั้ง
เกมเวอร์ชันต้นฉบับเปลี่ยนจากอินเทอร์เฟซแบบ point and click ที่เป็นเอกลักษณ์ของ LucasArts มาเป็นการควบคุมด้วยคีย์บอร์ด 100% (tank control) แต่ภายหลังแฟนๆ ก็หาวิธี mod มันกลับมาเป็น point and click อีกครั้ง ซึ่งเกมเวอร์ชันรีมาสเตอร์ก็นำ mod ตัวนี้เข้ามาผนวกในเกมด้วย (เลือกควบคุมได้ทั้งสองแบบ) ในมุมของผมแล้วคิดว่า point and click สะดวกกว่ามาก แต่ในเกมรีมาสเตอร์ก็มี achievement ชื่อ tank control ให้เล่นเกมจบด้วยวิธีนี้ โดยอธิบายว่า Tim (Schafer) สั่งมา 555
นอกจากปรับวิธีควบคุม ปรับปรุงกราฟิก (เล็กน้อย) เพิ่มระบบ achievement แบบเกมสมัยใหม่ เพิ่มแกลเลอรีภาพสเกตช์และคอมเมนต์จากผู้สร้าง ตัวเกมเพลย์ก็ยังเหมือนต้นฉบับทุกอย่าง
หลังจากได้มาเล่นตอนแก่ ก็พบว่าที่เล่นไม่จบสมัยเด็กๆ ไม่ใช่เพราะภาษาอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเกมมันยากด้วย ยากมากแบบ absurd คือปริศนาบางอันมันไม่สามารถคิดได้ด้วยสมองคนปกติเลย (อ่านรีวิวแล้วทุกคนก็ด่าแบบเดียวกันหมด) โดยเฉพาะ Year 2 ในเมือง Rubacava ที่ฉากมันกว้างมาก มีความเป็นไปได้หลายรูปแบบมาก การเดาไปเรื่อยๆ ไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก สุดท้ายก็ต้องเปิด walkthrough คู่ไปด้วยอยู่ดี (ผมใช้เวอร์ชัน Eurogamer ที่ไม่เปิดเผยเนื้อเรื่องมากนัก เอาไว้อ่านตอนติดขัดจริงๆ ซึ่งกว่าจะเล่นจบก็เปิดเป็นสิบๆ รอบ)
ในปี 1998 เกมกราฟิก 3D แบบนี้คงดูแปลกใหม่ แต่พอมาเล่นในปี 2021 มันก็โบราณไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม ความเจ๋งของ Grim Fandango ที่ไม่มีวันล้าสมัยคือ เนื้อเรื่องและบทสนทนาอันคมคาย ที่ต้องยอมรับในฝีมือคนเขียน (พร้อมกับด่าไปด้วยเรื่องปริศนา) เมื่อบวกกับวิธีการนำเสนอแนว film noire ผสมโลกความตายแบบเม็กซิกัน (ในเรื่องมีสลับๆ ไปพูดภาษาสเปนอยู่เรื่อยๆ) ทำให้สไตล์ของเกมนั้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์มาก และน่าจะถือเป็นจุดพีคสุดของเกมผจญภัยในยุคนั้นแล้ว (หลังจากนั้น ศิษย์เก่า LucasArts ก็แตกสายไปทำเกมใหม่ๆ แต่ก็ไม่มีเกมผจญภัยระดับเดียวกันนี้ออกมาได้อีก)
แต่เกมเวอร์ชันรีมาสเตอร์ก็มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพของเกมอย่างมาก (เหมือนไม่ค่อยตั้งใจทำ) ตอนเล่นแรกๆ ก็สงสัยว่าทำไมเครื่องกระตุก เพราะเกมเก่าปี 1998 มันไม่น่ามีปัญหานี้ แต่เมื่อไปอ่านใน Steam Community ก็พบว่าคนด่าเต็มไปหมด (555) แถมทาง Double Fine ก็ไม่ยอมแก้บั๊กใดๆ อีกแล้ว ปล่อยให้ผู้เล่นต้องทนกับการกระตุกๆ ไปตลอดทั้งเกม
แม้มีปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้งความยากเรื่องปริศนา และบั๊กของเกม แต่สุดท้ายก็กัดฟันเล่นจบได้สำเร็จ (ผมเล่นๆ หยุดๆ ใช้เวลารวม 12 ชม. ในเกม) ชีวิตก็หมดความคาใจไปอีกหนึ่งเกม