in Movies

Ford v Ferrari

Ford v Ferrari หนังแข่งรถปี 2019 ที่ได้ดาราใหญ่ระดับ Matt Damon และ Christian Bale มาเล่น

เนื้อหาของหนังเป็นการแข่งรถแบบอึด 24 Hours of Le Mans ในปี 1966 ที่บริษัทผู้ท้าชิงจากอเมริกัน Ford เจ้าแห่งรถบ้าน อยากบุกเข้ามายังโลกแห่งรถแข่ง และต้องการล้มแชมป์ Ferrari จากอิตาลีให้ได้

ทั้งสองบริษัทมีความแค้นต่อกัน เพราะ Ferrari มีประสบปัญหาทางการเงินมาก่อน แล้ว Ford พยายามเสนอซื้อกิจการในปี 1963 แต่กลับโดน Enzo Ferrari ผู้ก่อตั้งตลบหลัง ด้วยการนำดีลของ Ford ไปบลัฟบริษัทรถยนต์อิตาลีร่วมชาติคือ Fiat ให้มาซื้อแทน (ในราคาที่ดีกว่า)

ดีลนี้ทำให้ซีอีโอ Henry Ford II (หรือชื่อเล่นในวงการคือ Hank the Deuce) ซึ่งเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง Henry Ford โกรธมาก เขาจึงทุ่มทรัพยากรมาทำรถแข่งยี่ห้อ Ford ให้เอาชนะ Ferrari ในการแข่งขัน Le Mans ให้จงได้ (ซึ่งก็ทำสำเร็จในการแข่งปี 1966 ที่หนังเอาเรื่องมาเล่า)

Ford ไม่มีประสบการณ์ทำรถแข่งมาก่อน จึงพยายามเข้าตลาดให้เร็วด้วยการซื้อ เริ่มจากการซื้อรถแข่งต้นแบบจากบริษัท Lola ของอังกฤษ มาใช้เป็นต้นแบบของรถแข่ง Ford GT40 และจ้าง Carroll Shelby นักแข่งรถชาวอเมริกันคนเดียวที่เคยชนะ Le Mans ในปี 1959 (ตอนนั้นขับกับทีมอังกฤษ Aston Martin) มาเป็นหัวหน้าทีม

Shelby เคยชนะ Le Mans มาก่อนก็จริง แต่เขาตรวจพบว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการเต้นของหัวใจเร็วเกินไป จึงต้องเลิกแข่ง และหันมาเปิดธุรกิจ Shelby-American สร้างรถแรงๆ มาขายเศรษฐีแทน เมื่อ Shelby ขับเองไม่ได้แต่ได้ข้อเสนอจาก Ford เขาจึงต้องหาเพื่อนมาช่วยคือ Ken Miles นักขับ-ช่างเครื่องนิสัยเพี้ยนๆ ชาวอังกฤษที่ย้ายมาอาศัยในอเมริกา

แกนหลักของ Ford v Ferrari จึงเป็นเรื่องทีมนักสร้างรถแข่ง Shelby (Damon) และ Miles (Bale) ที่ต้องเอาชนะการแข่งขัน Le Mans ให้จงได้ โดยต้องเผชิญอุปสรรคจากทั้ง Ferrari ในฐานะคู่แข่ง และผู้บริหารของ Ford ในฐานะนักธุรกิจที่ไม่เข้าใจเรื่องแข่งรถ

เนื้อเรื่องจบด้วยชัยชนะของทีม Shelby ในการแข่งขันปี 1966 แต่ก็โดนบริษัท Ford ตลบหลัง (หนังตอนแรกด่า Ferrari แต่สุดท้ายคือด่า Ford ด้วย) และจบด้วยโศกนาถกกรรมคือ Miles ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการซ้อมขับรถรุ่นใหม่ในอีก 2 เดือนหลังจากนั้น

ดูแล้วประทับใจมาก สิ่งที่ชอบในหนังคือ

  • การแสดงของ Christian Bale ที่มารับบทเป็นช่างเครื่องสุดเพี้ยน ผอมๆ งงๆ แต่มีฝีมือ ซึ่ง Bale ปรับตัวเองมารับบทนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งการแสดงและร่างกาย ต้องไม่ลืมว่าเขาเคยเล่นเป็นคุณชายเพลย์บอยสุดล่ำ Bruce Wayne/Batman มาก่อน มาเล่นเรื่องนี้แทบจำไม่ได้ว่าเป็นคนเดียวกัน
  • หลายฉากที่สะท้อนปมในเรื่องผ่านการแสดงและสัญญะได้ดี เช่น ฉากที่ Shelby บอก Henry Ford II ว่าปัญหาของ Ford เกิดจากขั้นตอนที่ซับซ้อน (ผ่านการส่งแฟ้มต่อๆ กันหลายชั้นกว่าจะมาถึงผู้บริหาร) ซึ่งไม่เวิร์คสำหรับการแข่งรถ, ฉากที่ Shelby กับ Miles ทะเลาะกัน ต่อยกันอยู่หน้าบ้าน แล้วภรรยาของ Miles หยิบเก้าอี้พับออกมานั่งเล่นดูคนต่อยกันแบบชิวๆ, ฉากที่ Henry Ford II ชี้โรงงานของ Ford แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้อเมริกาชนะสงครามโลก ไม่ใช่ประธานาธิบดี Roosevelt สักหน่อย
  • โปรดักชั่นในเรื่องทำมาเนี้ยบมาก ทั้งรถยนต์ อู่รถ สนามแข่ง ที่ย้อนยุคปี 1966 ได้อย่างสมจริง (หนังชนะรางวัลออสการ์ปี 2019 สองสาขาคือ Best Film Editing และ Best Sound Editing)

ดูจบแล้วเลยต้องไปหาเกร็ดข้อมูลของ Le Mans และการแข่งรถเพิ่มเติม

  • การแข่งรถแบบวัดความอึด (endurance racing) ต่างจากการแข่งแบบวัดความเร็ว เพราะเป็นการกำหนดเวลา (12 หรือ 24 ชั่วโมง) เพื่อดูว่าทีมไหนวิ่งได้ไกลที่สุด (เป็นจำนวนรอบ) ซึ่งเป็นการวัดความทนทานของรถยนต์ เครื่องยนต์ คนขับ รวมถึงแผนการแข่งของทีมได้อย่างดีเยี่ยม
  • ในวงการนี้ มีงานแข่งใหญ่ 3 งานที่เรียกว่าเป็น Triple Crown ได้แก่
    • 24 Hours of Daytona (อเมริกา)
    • 12 Hours of Sebring (อเมริกา)
    • 24 Hours of Le Mans (ฝรั่งเศส)
  • Ken Miles พระเอกของเรื่อง ชนะการแข่ง Daytona และ Sebring มาก่อน ถ้าเขาชนะ Le Mans ด้วยก็จะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะ Triple Crown แถมชนะทั้งหมดในปีเดียวกันด้วย
  • คำสั่งของผู้บริหาร Ford ที่อยากให้รถของ Ford เข้าเส้นชัยพร้อมกัน 3 คันเป็นเรื่องจริง และเป็นผลให้ Miles ไม่ชนะอันดับหนึ่ง เพราะกรรมการมองว่ารถแข่งอีกคันของ Ford วิ่งได้รอบเท่ากัน แต่ออกสตาร์ททีหลัง เลยวิ่งไกลกว่านิดนึง

คลิปสรุปการแข่งของปี 1966 ของจริง

  • หลังจากนั้นมีคนชนะ Triple Crown ได้สำเร็จคือ Hans Hermann ในปี 1970 แต่ชนะแบบสะสมหลายปี (ชนะ Daytona/Sebring ปี 1968 แล้วค่อยมาชนะ Le Mans ปี 1970) จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีใครคว้าแชมป์ Triple Crown ในปีเดียวกันได้เลย Miles เป็นคนเดียวที่ใกล้เคียงที่สุด
  • Bruce McLaren นักแข่งของ Ford อีกคัน คนที่ชนะ Le Mans แทน Miles เป็นนักแข่ง F1 มาก่อน เขาเป็นคนก่อตั้งทีมแข่งรถ McLaren ด้วย (ตามนามสกุลของเขา) ในปี 1963 แต่น่าเสียดายว่าเขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตอนซ้อมเหมือนกันในปี 1970 เหลือแต่ชื่อทีมให้เป็นตำนานต่อไป
  • Denny Hulme นักขับคู่หูของ Miles (สลับกันขับเพื่อไม่ให้เหนื่อย) แต่แทบไม่มีบทในเรื่อง ชนะแชมป์โลก F1 ในปีถัดมาคือ 1967 หลังจากนั้นเขาย้ายไปขับให้ทีม McLaren แต่ก็ไม่ได้แชมป์โลกอีก
  • Chris Amon นักขับคู่หูของ McLaren ก็เป็นนักขับ F1 อยู่ก่อนเช่นกัน แต่ย้ายไปขับให้ Ferrari ในปี 1967 โดยเขาได้แชมป์สนามหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้แชมป์โลก
  • Shelby ชนะ Le Mans ปี 1959 ภายใต้ทีม David Brown เจ้าของบริษัท Aston Martin ในตอนนั้น แต่หลังจากนั้นคือปี 1960-1964 แชมป์เป็นของทีม Ferrari ล้วนๆ ติดกัน 5 ปี
  • Ford เข้าแข่งครั้งแรกในปี 1964 ทั้งทีมของ Ford เอง (ใช้รถ GT40) และใช้รถของทีมอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ Ford (เช่นทีม Shelby) แต่ล้มเหลว ทีมของ Ford ไม่เข้าเส้นชัยด้วยซ้ำ ปีนี้ยังเป็นปีสุดท้ายที่ Aston Martin ส่งแข่ง ทำให้คนของทีม Aston Martin ย้ายมาอยู่กับ Ford UK แทนในปี 65
    • การแข่งขันปี 1964 ไม่ปรากฎให้เห็นในหนัง แต่เป็นฉากที่ Miles อดไปแข่งแล้วต้องฟังผ่านวิทยุเอาแทน
  • ปี 1965 Ford ยังพยายามส่ง GT40 แข่งอีกครั้ง ผ่านตัวแทนจากหลายทีม (มีรถรวม 11 คันเข้าแข่ง) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย แทบไม่มีรถเข้าเส้นชัยได้เลย (พังก่อนหมด ในหนังจึงมีรูปหนังสือพิมพ์บอกว่า Ford แพ้อีกแล้ว) แต่ปีนี้ทีม Ferrari ก็แพ้ ไม่เข้าเส้นชัยเหมือนกัน ยังโชคดีว่าแชมป์คือทีม NART ใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari พอกู้หน้าได้บ้าง
    • การแข่งปี 65 นั้นจริงๆ Ken Miles ไปแข่งด้วย (ในหนังคือเป็นปี 64 แล้วกระโดดข้ามไป 66 เลย) ซึ่ง Miles จับคู่กับ McLaren เนี่ยล่ะ แล้วก็แข่งไม่จบเพราะเกียร์พังก่อน การแข่งของปีนี้ Peter ลูกชายของ Ken ตามไปดูที่ฝรั่งเศสด้วย (แต่ไม่ได้ไปในปี 66)
  • Ford ประสบความสำเร็จในปี 1966 หลังจากนั้นก็ชนะต่ออีก 3 ปีคือ 1967, 68, 69 (ปี 1968 เปลี่ยนกฎการแข่ง ทำให้ทีม Ford/Ferrari ไม่ได้เข้าแข่ง แต่ผู้ชนะเป็นทีมรายย่อยที่ใช้เครื่องยนต์ Ford แทน) ส่วนปี 1970 ทาง Ford ไม่ได้ส่งรถเข้าแข่ง
  • Lee Iacocca ผู้บริหารของ Ford คนที่ไปชวน Shelby มาทำรถแข่ง ภายหลังไปสร้างชื่อจาก Ford Mustang (โชว์ในเรื่องตอนฉากปราศรัยของ Shelby) และ Ford Pinto ในปี 1971 ก่อนย้ายไปเป็นซีอีโอของ Chrysler ในปี 1978 เพราะทะเลาะกับ Henry Ford II จนโดนไล่ออก
  • บริษัท Shelby American ยังมีธุรกิจอยู่จนถึงปัจจุบัน (Carroll Shelby ตายไปเมื่อปี 2012 นี้เอง) แม้ไม่ได้ทำทีมแข่งรถแล้ว แต่ก็ยังทำธุรกิจขายรถแต่งแรงๆ สำหรับตลาดผู้สนใจอยู่
  • การแข่งขันในปี 1966 เคยถูกเขียนเป็นหนังสือชื่อ Go Like Hell: Ford, Ferrari, and Their Battle for Speed and Glory at Le Mans เมื่อปี 2009 และเคยจะถูกนำมาเป็นหนังในชื่อ “Go Like Hell” แต่ล่มไป ประโยคนี้มาจาก Bruce McLaren ตะโกนบอก Chris Amon คู่หูที่ชนะการแข่งขัน