ภาคสองของหนังซีรีส์ Fantastic Beasts ซึ่งเป็น prequel ของจักรวาล Harry Potter (ปัจจุบันมีชื่อเรียกทางการว่า The Wizarding World) และได้ J.K. Rowling มาเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
เคยเขียนถึงหนังภาคแรกเอาไว้ ความรู้สึกคือเนื้อเรื่องในหนังภาคแรกเป็นแค่ introduction ตัวละครซะมากกว่า นั่นคือ Newt Scamander ตัวเดินเรื่องของซีรีส์นี้ (ไม่รู้ใช้คำว่า พระเอก ได้มั้ย ใช้คำว่าตัวเดินเรื่องแล้วกัน) ไปผจญภัยในแผ่นดินอเมริกา และทำภารกิจที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับปมหลักที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง Albus Dumbledore และ Gellert Grindelwald มากนัก เน้นแอคชั่นมากกว่าเล่าเส้นเรื่องหลัก
พอถึงภาคสอง เรียกได้ว่ากลับหัวกันเลย เพราะอัดแน่นมาด้วยรายละเอียดยุบยับ (ที่สมกับเป็น J.K. Rowling ตัวจริง) แต่ก็แลกมาด้วยการเดินเรื่องที่รวดเร็วจนตามไม่ทัน เป็นเหมือนการปูบทสำหรับไคลแม็กซ์ในภาคต่อๆ ไปมากกว่า
การเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อนสูง ค่อยๆ คลี่คลายปมจากการโปรยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่เกี่ยวข้องกัน (ลักษณะคล้ายๆ นิยายนักสืบ) ถือเป็นสไตล์การแต่งเรื่องที่โดดเด่นของ J.K. Rowling แต่ในอีกด้าน มันเหมาะสำหรับการเล่าเรื่องด้วยฟอร์แมตหนังสือเป็นหลัก (Deathly Hallows คือตัวอย่างที่ดีที่สุด) พอนำรายละเอียดเดียวกันนี้มาเล่าเรื่องผ่านสื่อภาพยนตร์ โดยไม่มีหนังสือนำทางมาก่อน ผลก็คือมันดูไม่ค่อยรู้เรื่อง
สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ The Crimes of Grindelwald ถือเป็นหนังในจักรวาล Wizarding World ได้คะแนนรีวิวเฉลี่ยน้อยที่สุดในซีรีส์ (36% Rotten Tomatoes, 52% Metacritic) รวมถึงทำรายได้น้อยที่สุดด้วย (654 ล้านดอลลาร์ ภาคแรกทำได้ 814 ล้านดอลลาร์) ทั้งที่เป็นผู้กำกับ (David Yates) และทีมสร้างชุดเดียวกันหมด
ประเด็นต่างๆ เท่าที่นึกออก
- เนื่องจากว่าดูภาคแรกจบไปนานแล้ว (ตั้งแต่ปี 2017) แล้วมาดูภาคสองในช่วงปีใหม่ 2022 ทำให้ลืมรายละเอียดของเรื่องไปหมดแล้ว ความอัดแน่นของหนังทำให้เปิดมาก็งงเลยว่า Leta Lestrange คือใคร! และ Newt Scamander มีพี่ชาย Theseus ด้วยเหรอ! หนังมีจังหวะแบบนี้หลายครั้ง ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ ถ้าเป็นหนังสือคงค่อยๆ ปูมาให้ผู้อ่านซึมซับ แต่พอเป็นหนังก็โยนใส่คนอ่านตูมๆ ให้เข้าใจกันเอง
- ตัวละครอีกตัวที่โผล่มาแบบงงๆ คือ Yusuf Kama ที่มาจากไหนไม่รู้ เหมือนจะสำคัญ แต่สุดท้ายก็สลบไปง่ายๆ แล้วก็มาเฉลยตอนหลังว่ามีบทสำคัญเป็นพี่ต่างพ่อของ Leta Lestrange ที่มาล้างแค้น แต่สุดท้ายก็เงิบอีกเพราะเข้าใจผิดกัน เข้าใจล่ะว่าจะนำบทไปใช้ต่อในภาคหน้า แต่การเปิดตัวในภาคนี้ก็น่าจะ intro ให้ดีกว่านี้หน่อย
- สิ่งที่ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองคนเดียวไหมคือ ตัวละครใน Fantastic Beasts มีใบหน้าหรือบุคลิก (ของนักแสดง ไม่ใช่บท) ที่ไม่ค่อยโดดเด่น จดจำได้มากนัก ตัวละครที่ผมรู้สึกว่าน่าจะแคสต์ได้ดีกว่านี้คือ Theseus และ Credence (ความเห็นตรงนี้ อาจเปลี่ยนได้ในภาคต่อๆ ไป เพราะตัวละครมีบทบาทสำคัญมากขึ้น)
- ตัวละครหลักของเรื่องทั้งสองคนได้แก่ Albus Dumbledore และ Gellert Grindelwald ได้ดาราระดับท็อปของวงการมาเล่นคือ Jude Law และ Johnny Depp ตามลำดับ
- ในฝั่ง Jude Law นั้น ต้องบอกว่าทำให้ Dumbledore ตอนหนุ่มกลายเป็นหนุ่มหล่อ ตาเป็นประกายโรแมนติกวิบวับ (ผมเพิ่งดู The Holiday มาด้วย ยังติดภาพ Jude Law หนุ่มเจ้าเสน่ห์อยู่เลย) ในแง่การแสดงคงไม่มีปัญหา แต่ Dumbledore แบบนี้ก็ดูแปลกตาดี
- ส่วน Grindelwald รู้สึกว่าเสียดายที่ได้คนระดับ Johnny Depp มาเล่น แต่ด้วยเหตุผลทั้งบทที่ดูแบนๆ (เรายังไม่ค่อยรู้เรื้องเบื้องหลัง Grindelwald มากนักในภาคนี้ รู้แค่ว่าเป็นพ่อมดร้ายสุดเก่ง ต้องการเปลี่ยนโลก มีสาวกมากมาย แต่ในภาพรวมแล้วไม่ต่างอะไรจาก Lord Voldemort เวอร์ชันหน้าไม่เละ) และเมคอัพที่ดูพรางใบหน้าของเขาไปพอสมควร ทำให้ไม่ค่อยเห็นฝีมือการแสดงของ Depp ในบทนี้สักเท่าไรนัก (แถมภาคหน้าก็ไม่ได้เป็น Depp แล้วด้วย)
- หนังภาคสองมีความเชื่อมโยงกับ Harry Potter มากขึ้นหลายจุด เช่น การมีตัวละคร Nakini ยุคก่อนเปลี่ยนเป็นงู (มาในฐานะคนรักของ Credence) และ Nicolas Flamel ก่อนสร้างศิลาอาถรรพ์ รายละเอียดพวกนี้ถือเป็นจุดเด่นของงาน J.K. อีกเช่นกัน และถือเป็นเรื่องดีที่ได้ตัว J.K. มาเขียนบทเอง แฟนๆ ไม่ต้องมีเถียงกันว่าเป็น canon รึเปล่า
- หนังเรื่องเดียวมีตัวละครหลักถึง 10 คน (ตามภาพ) ถือว่าเยอะมาก ก็ไม่แปลกใจที่ไม่สามารถใช้เวลาลงรายละเอียดให้กับตัวละครแต่ละคนได้เยอะนัก
- หนังภาคแรกใช้สถานที่เป็นนิวยอร์ก มีซีนที่รู้สึกเป็นนิวยอร์กเยอะ ภาคนี้ย้ายมาเกิดเหตุที่ปารีส แต่นอกจากฉากวิวไกลๆ ที่เห็นหอไอเฟล หรือมองมาร์ตแล้ว ก็แทบไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรที่เป็นปารีสบ้าง (ภาคหน้าไปบราซิล)
- ดูจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่า Crimes ของ Grindelwald คืออะไร
ภาพรวมคือไม่ได้แย่มากแบบที่หลายคนบ่นกัน ตัวโครงเรื่องหลักดีอยู่แล้ว มีปัญหาที่จังหวะการเล่าเรื่องเท่านั้น คิดว่าถ้าจับภาค 1+2 มาหารแบ่งเฉลี่ยให้ดีๆ หน่อย จะดีกว่านี้มาก