Dune: Part Two เป็นภาคต่อของ Dune: Part One โดยจับความครึ่งหลังของนิยายภาคแรก
ในขณะที่ Part One เป็นเพียงการเริ่มเซ็ตติ้งจักรวาลของ Dune ทั้งสภาพการณ์ของดาวเคราะห์ Arrakis และการเมืองระหว่าง 3 ตระกูลใหญ่ของจักรวรรดิ ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของตระกูล Atreides จนภรรยา Lady Jessica และบุตรชาย Paul ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปอาศัยอยู่กับชาวเผ่าทะเลทราย Fremen
Part Two เป็นการขมวดปมความขัดแย้งที่ปูพื้นมา โดย Paul และ Jessica เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชาว Fremen ทางภาคเหนือ โดยที่ Paul รับบทเป็นนักรบที่ต่อสู้กับตระกูล Harkonen และ Jessica รับบทเป็นผู้นำศาสนาคนใหม่
ตัวละครสำคัญของภาคสองคือ Chani ภรรยาชาว Fremen ของ Paul ที่พบรักกันในทะเลทราย (รับบทโดย Zendaya นักร้องสาวชื่อดัง ที่ได้เล่นแต่บทนางเอกดังๆ ซะด้วย) เธออยู่ในนิมิตของ Paul ที่มองเห็นว่าเธอจะต้องตายหากเขาลงไปรวบรวมเผ่า Fremen ทางภาคใต้ของดาว ทำให้เขาลังเลไม่ยอมไป (แต่สุดท้ายก็ไปอยู่ดี)
จุดที่น่าสนใจคือ Dune Part Two นั้นเคารพต้นฉบับนิยายเกือบหมด แต่มีจุดต่างสำคัญคือคาแรกเตอร์ของ Chani ในฉบับนิยายนั้น ยอมตามใจ Paul ทุกอย่าง แม้ Paul ต้องไปแต่งงานทางการเมืองกับเจ้าหญิง Irulan ก็ตาม ส่วนในฉบับภาพยนตร์นั้น Chani ต่างไปมาก เธอแทบไม่ยอมรับการที่คนในเผ่ามอง Paul เป็น “ผู้ปลดปล่อย” (Lisan al Gaib ตามภาษาของ Fremen) มาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ และเมื่อ Paul ประกาศจะแต่งงานกับ Irulan แล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เธอก็เลือกจะเดินจากเขาไปเลย ซึ่งก็น่าสนใจว่าในภาคถัดไป (ไม่รู้จะเรียก Dune: Part Three หรือ Dune Messiah ตามชื่อนิยายเล่มสอง) เธอจะกลับมาเจอกับ Paul ได้อีกอย่างไร เพราะลูกของเธอทั้งสองคนจะมีบทบาทอย่างสูงในเนื้อเรื่องของ Dune ช่วงถัดไป
ความแตกต่างสำคัญของหนังกับหนังสืออีกจุดคือ ตัวละครของ Alia น้องสาวของ Paul ที่ยังอยู่ในท้องแม่ Lady Jessica ตลอดเหตุการณ์ในภาพยนตร์ (แต่มีพลังพิเศษจากน้ำพิษ Water of Life ทำให้สื่อสารกับแม่ได้แล้ว) แต่ในฉบับนิยายนั้น Paul อยู่ในทะเลทรายราว 3 ปีก่อนมาต่อสู้กับจักรพรรดิ ทำให้ Alia คลอดออกมาก่อนนั้นแล้ว จึงมีชีวิตอยู่ในฐานะเด็กหญิง (ที่มีภูมิปัญญาเกินวัย) ด้วยเหตุนี้ทำให้บทบาทของ Alia ในเรื่องหลายส่วนจึงถูกตัดออกไปในเวอร์ชันหนัง (ตอนโดนลักพาตัว) หรือย้ายมาอยู่กับ Paul แทน (ตอนฆ่า Baron Harkonen แล้วบอกว่าท่านตา จริงๆ เป็นบทของ Alia) ดังนั้น Alia ในหนังจึงมีเฉพาะเสียงพูดของตัวอ่อน หรือมาเป็นนิมิตของ Alia ตอนโต (ที่แสดงโดย Anya Taylor-Joy มาแบบเซอร์ไพร์ส) เท่านั้น – รวมความแตกต่างระหว่างหนังกับหนังสือ โดย Esquire
ในฐานะคนอ่านนิยายมาก่อน ความรู้สึกของผมขณะดู Dune: Part Two รู้สึกว่าหนังไม่ค่อยได้ “อธิบาย” เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องอย่างชัดแจ้งมากนัก (คนที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนน่าจะแทบไม่เข้าใจเหตุการณ์หลายจุดเลยว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เช่น บทบาทของ Lady Fenring, คนอ่านนิยายบางทีก็ไม่เข้าใจ เช่น ทำไมน้ำตาของ Chani ถึงช่วยให้ฟื้นได้)
และในบางฉาก หนังก็ใช้เวลาน้อยไป รวบรัดไป ทั้งที่เป็นจุดสำคัญของเรื่อง (เช่น เหตุการณ์ที่ Paul ล่อให้จักรพรรดิมาที่ดาว Arrakis แล้วตลบหลัง, การขู่ว่าจะทำลาย spice ทั้งหมดซึ่งจะส่งผลอย่างหนักต่อการเดินทางในอวกาศ, ทำไมจักรพรรดิถึงฆ่าพ่อของ Paul, บทบาทของหัวหน้านางชี Bene Gesserit) ส่งผลให้หนังไปไม่สุดเท่าที่ควรจะเป็น ตอนแรกคิดไปเองคนเดียว แต่ลองไปหาดูก็พบว่ามีคนที่คิดเหมือนกัน (ท่ามกลางกองอวยจำนวนมหาศาล)
ตรงนี้ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่า หนังภาคหน้าจะยังใช้วิธี “ไม่อธิบาย” แบบเดียวกันไหม เพราะพล็อตของนิยายเล่ม 2 ยิ่งเพี้ยน ยิ่งเข้าใจยากกว่านิยายเล่มแรกมาก (หลายตัวละคร “คืนชีพได้”, บทบาทของกลุ่มการเมืองอื่นๆ ในจักรวรรดิ, ความเป็นศาสนาที่เข้มข้นกว่าเดิม) ผู้กำกับและผู้เขียนบทจะสามารถเล่าเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้อย่างไร
ประเด็นอื่นๆ ของหนัง ไม่ว่าจะเป็นงานภาพ ดนตรีประกอบ โปรดักชัน ต้องยอมรับว่าระดับยอดเยี่ยม สวยงาม ควรค่าแก่การชื่นชม โดยเฉพาะฉากบนดาวของตระกูล Harkonen ที่ทำออกมาได้โดดเด่นน่าประทับใจมาก